Menu
The Faith. EP 5. “ความเชื่อ 4 ระดับ “
(TH) สวัสดีครับทุกคนวันนี้กลับมาคุยกันต่อเรื่องความเชื่อน่ะครับ วันนี้หัวข้อคือ “ความเชื่อ 4 ระดับ” เชื่อมั้ยครับความเชื่อมีระดับขั้น มีความแตกต่างที่สามารถสังเกตุเห็นได้ไม่ยาก ครั้งนึงเคยมีคนถามผมว่า คิดว่าความเชื่อมีระดับมั้ย?
ผมก็ตอบเขาไปว่า ผมเชื่อว่ามีครับ และ เขาตอบกลับมาเขาไม่เชื่อว่ามี เชื่อก็คือเชื่อ และเขาก็ถามผมกลับมาอีกว่า มีในพระคัมภีร์ตอนไหน ผมเลยตอบเขาไปด้วยข้อต่อไปนี้ครับ
‘ในวันนั้นยาห์ชัวเสด็จจากบ้านไปประทับที่ชายทะเลสาบ มีมหาชนมาหาพระองค์ พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และฝูงชนทั้งหมดก็ยืนอยู่บนฝั่ง แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมาหลายเรื่อง เป็นต้นว่า “นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นอย่างเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมันก็ถูกแผดเผา จึงเหี่ยวไปเพราะรากไม่มี บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหูจงฟังเถิด” ‘
มัทธิว 13:1-9
เมื่อเราอ่านดูแล้วจะสามารถแยกผู้คนออกได้ 4 ประเภท ดังนี้ครับ
1 เมล็ดที่ตกตามหนทาง เมื่อนกมาก็กินเสีย
2 เมล็ดที่ตกตามพื้นที่หินมีดินน้อย
3 เมล็ดตามต้นหนาม
4 เมล็ดที่ตกตามดินดี
ยาห์ชัวได้เริ่มอธิบายความเชื่อแบบแรก ไว้แบบนี้ครับ
“เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชนั้น เมื่อใครได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง ‘
มัทธิว 13:18-19
ความเชื่อ ระดับแรกที่ยาห์ชัวอธิบายไว้ได้ชัดเจนมากๆแล้ว คือ ผู้คนแบบจะมีลักษณะที่สามารถเข้าใจเรื่องราวของแผ่นดินพระยาห์เวห์ได้ เชื่อมั้ยครับผู้คนแบบนี้อยู่รายล้อมเราทั่วไปพวกเขาไม่สนในชีวิตนิรันดร์ พวกเขาสนใจแค่ว่าวันนี้จะกินอะไร หาเงินอย่างไร นอนสบายมั้ย และทำอย่างไรที่จะได้เงินมาเก็บไว้ให้เยอะที่สุด เมื่อมีความทุกข์ การแก้ด้วยวิธีต่างๆ กัน เช่น ไปเที่ยว ไปวัด ไปหานักจิตแพทย์ หรือ ทำงานเยอะๆไปเลยให้ลืมความทุกข์ และเมื่อมีใครไปคุยเรื่องชีวิตนิรันดร์กับเขา เขาจะมองเป็นเรื่องไร้สาระทันที คนแบบนี้ก็คงต้องปล่อยเขาไปน่ะครับ พวกเขาเลือกเข้าสู้การพิพากษาด้วยความดีที่เขาได้ทำมาไม่เลือกจะปรับเปลี่ยนอะไร เป็นดีก็ดีไป เป็นคนไม่ดีก็ว่าไปตามนั้น ครับ
เชื่อมั้ยครับคนในยุคนี้ พอเวลาพูดถึงเรื่องการ ตกนรก มีบางคนยินดีจะไปที่นั้นอย่างเต็ม อันนี้ ยากเลย เอาไว้มาคุยประเด็นนี้กันอีกที และนี้คือ คนแบบที่หนึ่งครับ
‘และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด ‘
มัทธิว 13:20-21
ความเชื่อแบบที่สอง ยาห์ชัวอธิบายไว้ว่า คนเหล่านี้เป็นผู้เชื่อน่ะครับ เมื่อเข้าใจเรื่องแผ่นดินสวรรค์ ชีวิตนิรันดร์ ก็ดีใจครับ “ ไปโบส ชื่นชมยินดี ชื่นชมยินดี ครับ พระเจ้ารักคุณ เย้ๆ ดีใจๆ พระเจ้าอวยพร น้าา “ แต่พอเริ่ม เจอเรื่องยากๆ พอมี ปัญหาเข้ามา อธิษฐานขอแล้วไม่ได้ดังใจ ไม่ได้แบบที่คิดไว้ ก็เริ่มไม่โอเค เริ่มต่อว่า บ่น หงุดหงิด บางคนถึงกับเลิกเชื่อ ด้วยเหตุผลว่า อยู่กับพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ไม่เห็นมีอะไรดีเลย คนพวกนี้เขามาเชื่อเพิ่มเติมเต็มชีวิตในแบบที่หนึ่งครับ เขามาเพราะเรื่องการกิน การดื่ม การเป็นอยู่ไม่ได้มาเพราะชีวิตนี้รันดร์ เขาแค่เข้าใจว่าพระยาห์เวห์จะให้เขาตามที่เขาปราณนาเท่านั้น เรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดในยุคหลังแต่มีมาตลอดครับในยุคของยาห์ชัวก็ยังมีดังพระคำในข้อนี้ครับ
‘เมื่อพวกเขาพบพระองค์ที่ฝั่งทะเลสาบข้างโน้นแล้ว เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไหร่?” ยาห์ชัวตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะมอบให้กับพวกท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว” พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “เราจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะทำงานของพระเจ้าได้?” ยาห์ชัวตรัสตอบเขาว่า “งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อที่เราจะเห็นและวางใจท่าน? ท่านจะทำอะไร? พวกยิวจึงซุบซิบกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์” พวกเขาพูดกันว่า “คนนี้คือยาห์ชัวลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก แล้วเดี๋ยวนี้เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?” ยาห์ชัวตรัสตอบพวกเขาว่า “อย่าซุบซิบกันเลย แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า “คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” เมื่อพวกสาวกของพระองค์หลายคนได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้?” และเมื่อยาห์ชัวทรงทราบว่าพวกสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ? ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก ยาห์ชัวตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า “พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?” ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ ‘
ยอห์น 6:25-30,41-43,52,60-61,66-68
นี้แหละครับทางแคบพอเริ่มเข้าสู่เนื้อหาสาระ ผู้เชื่อแบบนี้ก็เริ่มถอย เพราะเขาไม่เข้าใจ ความสำคัญของแผ่นดินสวรรค์ เขามองแค่เรื่องปากท้องเท่านั้น น่าเสียดายมากๆ จะถึงทางเข้าอยู่แล้วเชียว
‘และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล ‘
มัทธิว 13:22
ความเชื่อแบบที่สาม ก็ใกล้เคียงกับแบบที่สองมากๆครับ แต่จะเป็นเรื่องของ การไม่วางใจ ในการดูแลเลี้ยงดูของพระยาห์เวห์มากกว่า พวกเชื่อและพร้อมจะทำตาม พร้อมจะรักษาความบริสุทธิ์ แต่โดยมีเงื่อนไขว่า เขาต้องมีแผ่นสำรองไว้เสมอ เขาไม่พร้อมจะวางใจแบบหมดหน้าตัก เขายินดีจะเดินตามพระยาห์เวห์ ด้วยแผนของเขาเอง เขาต้องมีเงินเก็บ เขาต้องมีแผนสำรอง สอง สาม สี่ และแน่นอนเขาลักษณะแบบนี้จะไปถึงจุดเกิดผลได้ยากมากๆ เพราะเรื่องของ ความกังวลเรื่อง ฐานะทางการเงินนี้แหละคับ เรามาดูตัวอย่างในพระคำตอนนี้กัน
‘เมื่อพระองค์กำลังจะเสด็จออกไปนั้น มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” ยาห์ชัวตรัสกับคนนั้นว่า “ท่านใช้คำว่าประเสริฐทำไม? ไม่มีใครประเสริฐนอกจากพระเจ้าองค์เดียว ท่านก็รู้จักบัญญัติแล้วที่ว่า ‘ห้ามฆ่าคน ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามลักทรัพย์ ห้ามเป็นพยานเท็จ ห้ามโกงเขา จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า ’ ” คนนั้นจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ บัญญัติเหล่านั้นข้าพเจ้าถือรักษาไว้ตั้งแต่เด็ก” ยาห์ชัวทอดพระเนตรดูคนนั้น ทรงเอ็นดู เขาแล้วตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของที่ท่านมีอยู่ แจกจ่ายให้กับคนยากจน ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงกลับมาติดตามเรา” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น ใบหน้าของเขาก็สลด แล้วออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของจำนวนมาก ยาห์ชัวจึงทอดพระเนตรรอบๆ แล้วตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงๆ” เหล่าสาวกก็ประหลาดใจเพราะถ้อยคำของพระองค์ แล้วยาห์ชัวตรัสกับพวกเขาอีกว่า “ลูกเอ๋ย การเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงๆ เชือกจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า” เหล่าสาวกก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง พูดกันเองว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้?” ยาห์ชัวทอดพระเนตรพวกเขาแล้วตรัสว่า “ส่วนมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง” เปโตรจึงเริ่มทูลพระองค์ว่า “นี่แน่ะ ข้าพระองค์ทั้งหลายยอมสละสิ่งสารพัดและติดตามพระองค์มา” ยาห์ชัวตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ใครก็ตามที่สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา คนนั้นจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้คือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูก และไร่นา พร้อมการข่มเหงด้วย และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์ แต่หลายคนที่เป็นคนแรกจะกลับไปเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนแรก” ‘
มาระโก 10:17-31
เห็นมั้ยครับ ขั้นตอนก่อนจะเกิดผลคือเราต้องมาถึงจุดที่มีความเชื่อที่จะเริ่มเอาสิ่งที่มีทั้งหมดถวายคืนกลับไปที่พระยาห์เวห์ โดยผ่านการช่วยเหลือพี่น้องและคนยากไร้ต่างๆ และเริ่มเข้าสู่การวางใจ และมีชีวิตที่มีพอเฉพาะที่จำเป็นและจะได้พบกับการเลี้ยงดูจากพระยาห์เวห์ จริงๆ เสียที และมาถึงความเชื่อแบบสุดท้ายครับ
‘ส่วนเมล็ดซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” ‘
มัทธิว 13:23
นี้คือ ผู้เชื่อ แบบที่สี่ ครับ ดินดี คือคนที่ เข้าใจเนื้อหาสาระของข่าวประเสริฐจริงๆ ย่ำว่าเข้าใจและเชื่อจริงๆ เข้าเห็นแล้ว่า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าจะได้ชีวิตนิรันดร์ และเข้าได้แล้วและอยากรักษามันไว้ให้ตลอดรอดฝั่ง พวกเขาจึงยอมสละทุกอย่างเพื่อรับใช้ แผ่นดินสวรรค์ และองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่กลัวการข่มเห่ง ไม่กลัวความยากจน พวกเขาไปไกลกว่านั้นคือ ทุกวินาทีของเขาอยู่เพื่อยาห์เวห์ ในสายตาพวกเขาไม่มีการเป็นเจ้าของ มีเพียงการครอบครองชั่วคราวเท่านั้น เพราะทรัพย์สมบัติจริงๆ อยู่ในอาณาจักรหลังจากการเสด็จกลับมาของยาห์ชัว พวกเขาลงทุนทั้งชีวิต โดยเชื่อมั่นว่า ยาห์ชัว จะตอบแทนพวกเขาด้วยบำเหน็จ ที่ดีกว่า ทรัพย์สิน เงินทอง หรือ ชื่อเสียง ในยุคของซาตาน แบบนี้ ว่าง่ายๆว่า ถ้าเขาอยากดัง เขาขอดังในยุค ของยาห์ชัวมากกว่า จะยอมขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อจะโด่งดัง หรือ สำเร็จ ในยุคของซาตานที่ชั่วร้ายแบบนี้นั้นเอง
เป็นไงครับ เราพอจะได้แนวคิดอะไรบ้างมั้ยคับ เราอยู่ในระดับไหนกันบ้างครับ ให้เราตอบในใจ และ เริ่มต้นที่จะละทิ้ง สิ่งเก่าๆ แล้วรับเอาสิ่งใหม่ๆจากยาห์เวห์ เพื่อสิ่งที่ดีกว่ากันน่ะครับ
ชาโลม
เอลเดอร์ โป้ง
The Faith. EP 5. “The 4 Levels of Faith”
(EN) Hello everyone, today we are back to talk about faith. Today’s topic is ‘4 Levels of Faith’. Do you believe that faith has a level? There are differences that can be easily observed. Once someone asked me if I thought faith had a level. I replied that I believe they do, and he responded that he does not believe faith has a level; believing is just believing. Then he asked me again where it is mentioned in the scriptures, and I replied with the following verses.
And going out from the house in that day, Yahshua sat down by the sea. And great crowds were gathered to Him, so that having entered the boat, He sat down. And all the crowd stood on the shore. And He spoke to them many things in parables, saying, Behold the sower went out to sow. And in his sowing, some fell by the roadside, and the birds came and ate them. And other fell on the stony places where they did not have much earth, and it immediately sprang up because it had no deepness of earth. And the sun rising, it was scorched; and because of having no root, it was dried up. And other fell on the thorn-bushes, and the thorn-bushes grew up and choked them. And other fell on the good ground and yielded fruit; indeed, one a hundredfold, and one sixty, and one thirty. The one having ears to hear, let him hear.
Matthew 13:1-9
When we read, we can categorize people into 4 types as follows:
1. Seeds that fall along the path and are eaten by birds.
2. Seeds that fall in rocky areas with little soil.
3. Seeds that fall near thorn bushes.
4. Seeds that fall in good soil.
Yahshua began to explain the first level of faith like this:
But you hear the parable of the seed, everyone hearing the Word of the kingdom, and not understanding, then the evil one comes and catches away that which was sown in his heart. This is that sown by the roadside.
Matthew 13:18-19
The first level of faith that Yahshua clearly described is people who have the characteristics to understand the story of the kingdom of Yahweh. Do you believe that such people are all around us? They are not concerned with eternal life; they only care about what to eat today, how to make money, whether they can sleep comfortably, and what to do to save the most money. When they face suffering, they cope in various ways, such as going on trips, visiting temples, seeing psychologists, or just working hard to forget their troubles. And when someone comes to talk about eternal life with them, they immediately think it’s nonsense. People like this are probably best left alone; they choose to enter judgment based on the good they have done without wanting to change anything. If they are good, then that’s fine; if they are not good, so be it. Do you believe that people in this time, when talking about going to hell, some would willingly go there? This is hard to discuss further, so let’s talk about this point again another time. And this is the first type of person.
And that sown on the stony places is this, the one hearing the Word, and immediately receiving it with joy, But he has no root in him but is temporal. And when trouble or persecution comes, he is quickly offended because of the word.
Matthew 13:20-21
The second level of faith that Yahshua explained is that these people are believers. When they understand the matter of the kingdom of heaven and eternal life, they feel happy. “Go to church, rejoice, rejoice! God loves you, yay! Happy! God bless you!” But when they start facing hardships and if problems arise, when they pray and it doesn’t go as they wish, it is not what they expected, they begin to feel upset, start complaining, and some even stop believing for the reason that being with God (Yahweh) doesn’t seem to bring anything good. These people come to fill their lives with beliefs of the first kind. They come because of food, drink, and livelihood, not because of eternal life. They just understand that Yahweh will grant them according to their desires.
This kind of situation has not just emerged in modern times; it has been present since the time of Yahshua as noted in scripture.
And finding Him across the sea, they said to Him, Rabbi, when did you come here? Yahshua answered them and said, Truly, truly, I say to you, You seek Me not because you saw miraculous signs, but because you ate of the loaves and were satisfied. Do not labor for the food which perishes, but for the food which endures to everlasting life, which the Son of Man will give to you; for YAHWEH the Father sealed this One. Then they said to Him, What may we do that we may work the works of Elohim? Yahshua answered and said to them, This is the work of Elohim, that you believe into Him whom that One sent. Then they said to Him, Then what miraculous sign do You do that we may see and may believe You? What do You work? Then the Jews murmured about Him, because He said, I am the Bread coming down out of Heaven. And they said, Is this not Yahshua the son of Joseph, of whom we know the father and the mother? How does this One now say, I have come down out of Heaven? Then Yahshua answered and said to them, Do not murmur with one another. Then the Jews argued with one another, saying, How can this One give us His flesh to eat? Then many of His disciples having heard, they said, This Word is hard; who is able to hear it? But knowing in Himself that His disciples were murmuring about this, Yahshua said to them, Does this offend you? Because of this saying, many of His disciples turned their backs and did not walk with Him. Therefore, Yahshua said to the Twelve, Do you also wish to go? Then Simon Peter answered Him, Master, to whom shall we go? You have the Words of everlasting life.
John 6:25-30,41-43,52,60-61,66-68
This is the narrow path that, when we begin to delve into the substance, those who believe in this start to retreat because they do not understand the importance of the heavenly realm. They only focus on their immediate needs. It’s really a pity; we are almost at the entrance.
And that sown into the thorn bushes is this the one hearing the Word, and the cares of this world, and the deceit of riches, choke the Word, and it becomes unfruitful.
Matthew 13:22
The third kind of faith is very similar to the second kind, but it is more about a lack of trust in the care and guidance of Yahweh. Those who believe are ready to follow and maintain purity, but with the condition that they must always have a backup plan. They are not willing to trust completely; they are willing to walk with Yahweh on their own terms. They need to have savings, and they need to have backup plans—two, three, four. And of course, this kind of mindset will struggle to achieve bearing fruits because of concerns about financial status. Let’s look at an example in the scripture now. And He having gone out into the highway, running up and kneeling down to Him, one questioned Him, Good Teacher, what shall I do that I may inherit eternal life? But Yahshua said to him, Why do you call Me good? No one is good except One, YAHWEH. You know the commandments: Do not commit adultery, do not commit murder, do not steal, do not bear false witness, do not defraud, honor your father and mother. And answering, he said to Him, Teacher, I observed all these from my youth. And looking at him, Yahshua loved him, and said to him, One thing is lacking to you. Go, sell what things you have, and give to the poor. And you will have treasure in Heaven. And come follow Me, taking up the torture stake. But being sad at the Word, he went away grieving; for he had many possessions. And having looked around, Yahshua said to His disciples, How hardly those having riches will enter into the kingdom of YAHWEH! And the disciples were astonished at His Words. And answering again, Yahshua said to them, Children, how hard it is for those trusting on riches to enter into the kingdom of YAHWEH! It is easier for a heavy rope to pass through the eye of the needle, than for a rich one to enter into the kingdom of YAHWEH. And they were all the more wondering and saying among themselves, Who is able to gain life? But looking at them, Yahshua said, From men it is impossible, but not from YAHWEH. For all things are possible from YAHWEH. And Peter began to say to Him, Behold, we left all and followed You. But answering, Yahshua said, Truly I say to you, There is no one who forsook house, or brothers, or sisters, or father, or mother, or wife, or children, or lands, for My sake and the good news, that will not receive a hundred-fold now in this time, houses and brothers and sisters and mothers and children, and lands, with persecutions; and in the coming age, eternal life. But many first shall be last, and the last shall be first.
Mark 10:17-31
Do you see? The step before bearing fruits is that we must reach a point of faith to begin returning everything we have to Yahweh, through helping our brothers and the needy, and start to have trust and live a life that is merely sufficient for our needs, and then we will truly experience being taken care of by Yahweh, and reach the last type of faith.
But that sown on the good ground is this the one hearing the Word, and understanding it, who indeed bears and yields fruit, one truly a hundredfold, and one sixty, and one thirty.
Matthew 13:23
This is the fourth type of believer. A good soil is someone who truly understands the essence of the gospel, emphasizing that they understand and truly believe. They realize that nothing is more important than attaining eternal life, and they want to preserve it throughout their journey. They are willing to sacrifice everything to serve the kingdom of heaven and Yahweh. They are not afraid of persecution or poverty; they go beyond that. Every second of their life is dedicated to Yahweh. In their eyes, there is no ownership, only temporary possession, because true treasures lie in the kingdom after the return of Yahshua. They invest their entire lives, believing that Yahshua will reward them with better compensation than possessions, wealth, or fame in this age of Satan. Simply put, if they want to be famous, they prefer to be famous in the time of Yahshua rather than sell their soul to Satan for fame or success in this wicked age of Satan.
How are you? Can we get some ideas? What level are we at? Let’s answer it in our hearts and start letting go of the old things and embrace the new things from Yahweh for the better.
Shalom
Elder Pong
Congregation of YHWH, Thailand ชุมชนของพระยาห์เวห์ แห่งประเทศไทย
