
สวัสดีครับพี่น้องชาวไทยทุกท่าน วันที่วันที่ 17 ที่ผมอยู่ ซาปา ประเทศเวียดนาม เอ๊ยยย ไม่ใช่สิ อยู่จอร์แดน กลางทะเลทราย ในถิ่นทุรกันดาร แต่เช้าวันนี้หมอกลงหนาจัดจนแทบมองอะไรไม่เห็นเลยครับ ไม่ต่างอะไรกับซาปา ประเทศเวียดนามเลยครับ ช่างเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ และในขนะเดียวกันที่อิสราเอลทกำลังเจอกับพายุทะเลทราย และไฟป่าโหมกระหน่ำ แต่พวกเราที่อยู่กลางทะเลทรายกับมีหมอกที่แสนจะสดชื่นและชุ่มช่ำ เป็นหมายสำคัญที่น่าเก็บมาพิจารณาจริงๆ นะครับ
วันนี้ผมมีเรื่องราวดีๆมาฝากครับ ในหัวข้อ ของการใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องครับ
เดิมทีความสับสน ในระหว่างของประทานจากพระยาห์เวห์ กับความสามารถทั่วไปของมนุษย์ นั้นสำหรับผมถือว่าค่อนข้างเป็นเรื่องยากมากๆ ที่เราแยกออกครับ เช่น การเล่นดนตรีในการนมัสการ และ การเล่นดนตรีทั่วไปตามงานรื่นเริงต่างๆ เดิมทีผมเองก็จะยังไม่เข้าใจมันดีพอว่า อะไรคือสิ่งที่เรียกเป็นของขวัญพิเศษจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสิ่งนี้จะได้มาหลังจากเราได้รับบัพติสมาแล้วอย่างถูกต้อง และได้รับการวางมือเพื่อรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ สำหรับผมดูแทบไม่ต่างกันเลย ตรงกันข้าม คนทั่วไปอาจทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ จริงมั้ยครับ
แต่คลาสเมื่อวานเปิดตาผมใหม่ครับ เพราะที่ผมเข้าใจมา มันผิดหมดเลย แท้จริง ของประทานฝ่ายวิญญาณไม่ใช่ ทักษะความสามารถ ครับ ทักษะและความสามารถ ใครๆก็หาเรียนได้บางคนเกิดมาก็สามารถพัฒนาทักษะได้อย่างรวดเร็ว และทักษะเหล่านี้ไม่ใช่ของประทานจากสวรรค์ครับ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรี การสอน การพูดด้วยสติปัญญา และความรู้ หรือ แม้กระทั้ง การช่วยเหลือบริการ และอื่นๆ สิ่งต่างเหล่านี้แม้มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์แต่ไม่ได้หมายถึง ความสามารถเหล่านี้ครับ เอาหละ เริ่มน่าสนใจแล้วใช่มั้ยครับ 555
ใช่แล้วครับ เพราะแท้จริงของประทานจากสวรรค์จากพระยาห์เวห์ คือ การอัศจรรย์ ผ่านความสามารถเหล่านี้ต่างหาก สิ่งนี้ไม่สามารถทหาได้ทั่วไป เลยครับ ยิ่งในเมืองไทยยากมากๆ ดนตรีดีๆ หาฟังง่าย แต่ดนตรีที่พาเรากลับใจ ร้องไห้ พาเราสัมผัสความยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์ ดนตรีที่พาเราหึกเหิมอยากต่อสู่กับความบาปอย่างจริงจัง หาไม่ง่าย จริงมั้ยครับ นั้นคือความต่าง คำสอนที่ดีๆ มีเยอะแยะทั่วไป แต่คำสอนที่ทรงพลัง เหมือนนัยว่า คนสอนได้ล่วงรู้ข้อสงสัยของเรามาก่อน คำสอนที่เปิดตาเราพาเรากลับใจ พาเรามีความเชื่อเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ จนเรารู้สึกถึง อัศจรรย์ ผ่านคำพูด หาไม่ง่ายเช่นกันจริงมั้ยครับ หรือแม้แต่ การช่วยเหลือบริการ เราหาได้ทั่วไป จากผู้คนบางทีเราไม่ต้องการด้วยซ้ำ บางทีเราอึดอัด ด้วยซ้ำ แต่ใครเล่าจะมีความสามารถในการล่วงรู้ในสิ่งที่เรากำลังต้องการ ในอนาคต หรือที่เราไม่ได้ปริปากบอก แต่เขาผู้นั้นกลับนำสิ่งนั้นมาให้ ทำสิ่งนั้นให้ บางทีแม้แต่เราก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอัศจรรย์ ที่เหนือกว่า ความสามารถจริงมั้ยครับ
นี่แหละครับ ความแตกต่างระหว่างของความสามารถทั่วไป คนทั่วไป และ ของประทานจากสวรรค์ ผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์และกุญแจสำคัญคือ คนๆนั้นต้องมีความรักเสียก่อน หากปราศจากความรัก ความสามารถเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ จนน่ารำคาญด้วยซ้ำไป แต่หากเขาเข้าใจความหมายของความรัก ความสามารถเหล่านั้นจะสร้างประโยชน์มหาศาสและทรงคุณค่า จนเป็นสิ่งอัศจรรย์ไปเลยครับ และทราบมั้ยครับ เรารู้ได้อย่างไรว่าเราเข้าใจหรือเราเริ่มเข้าใกล้ความรักแบบที่ ยาห์เวห์อยากเห็น นั้นคือ เราจำเป็นต้องมีผลพระวิญญาณทั้ง 9 อย่างให้ได้ก่อน ครั้งก่อนโน้นผมเคยให้ แต่ล่ะคนให้คะแนนตัวเองไป เราควรมี 7 คะแนน ขึ้นไปนะครับ ในแต่ล่ะข้อ หาก ข้อหนึ่งข้อได้ไม่ถึง 7 เราควรกลับมาทบทวนและปรับมุมมองเพื่อรักษาผลพระวิญญาณเหล่านี้ไว้ ให้สมดุล
ลองคิดดูสิครับ ถ้าเรา มีความรักผู้คนเสมอ เรายินดีในจิตใจเสมอ เรามีสันติสุข เสมอ ความอดทนนาน ความเมตตาต่อผู้คน เราอยากที่จะทำสิ่งดีคิดดี เราซื่อสัตย์ เชื่อถือได้ เราอ่อนโยน สุภาพต่อผู้คน และที่สำคัญ เราควบคุมตัวเองได้ดี ความสามารถที่เรามีจะทรงพลังขนาดไหน และแน่นอนครับสิ่งที่จะช่วยให้เรามีผลพระวิญญาณทั้งหมดนี้ได้ คือ วิญญาณบริสุทธิ์ของพระยาห์เวห์ ภายในเรา เท่านั้น เราทำเองไม่ได้ เราต้องยอมจำนน ต่อพระองค์ เท่านั้น
“แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ”
1 โครินธ์ 13:1-7 THSV11
“ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้ตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขนพร้อมกับราคะและตัณหาแล้ว ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย เราอย่าอวดตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉากันเลย”
กาลาเทีย 5:22-26 THSV11
ดังนั้นให้เราทบทวนทวนชีวิตในทุกๆวันดำเนินกับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างต่อเนือง และทุบตีเนื้อหนังของเรา เพื่อจะเกิดผลฝ่ายวิญญาณ จนเป็นคนที่เต็มไปด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จนไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด ผู้คนก็\จะสัมผัสถึง ยาห์ชัวภายในเราเสมอ และ อัศจรรย์จะเกิดขึ้นท่ามกลางเราในทุกๆที่เราไป ที่สำคัญ อย่าลืม ออกไปเกิดผลน่ะครับ
ขอพระยาห์เวห์ประทานสติปัญญาให้กับพวกเราที่จะเข้าใจทุกท่านน่ะครับ
ชาโลม
เอลเดอร์ โป้ง
Congregation of YHWH, Thailand ชุมชนของพระยาห์เวห์ แห่งประเทศไทย
ขออภัยในความผิดพลาด ทางเราได้ทำการแก้ไขการจัดเรียนหน้าในหนังสือ The gates of hell shall not prevail against her ให้ถูกต้องแล้ว