Separating the wheat from the tares

“Separating the Wheat from the Tares”
แยกข้าวสาลีออกจากข้าวละมาน

โดย ดอน เอสโพสิโต้

       ในพระคัมภีร์ พระยาห์เวห์ใช้วงจรการเจริญเติบโตเพื่อเปรียบเทียบการเก็บเกี่ยวทางจิตวิญญาณที่แท้จริงของพระองค์จากโลกนี้ ซึ่งนี่คือรูปแบบของพระยาห์เวห์ตั้งแต่สวนเอเดน

ปฐมกาล 2:8-9, 15 THSV11
[8] พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ในเอเดนทางทิศตะวันออก และทรงกำหนดให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นอยู่ที่นั่น [9] แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและน่ากินงอกขึ้นจากพื้นดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่กลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย [15] พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน

       ตอนนี้ผมไม่สงสัยว่ามีสวนจริงในเอเดน อย่างไรก็ตาม หากมองความสำคัญของการทรงสร้างและสิ่งทรงสร้างทั้งหมดที่ถูกสรุปให้อยู่ในบทเดียวของพระคัมภีร์ โดยที่ทุกคำมีความสำคัญอย่างมาก มันยากสำหรับผมที่จะจินตนาการว่าจุดหมายหลักของการทรงสร้างในปฐมกาลบทที่หนึ่งคือเพื่อที่อาดัมจะได้รู้วิธีปลูกมะเขือเทศที่ดีจริงๆ

       ไม่ เมื่อเราค้นพบรูปแบบของพระยาห์เวห์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เราจะเห็นว่าพระยาห์เวห์ใช้การเปรียบเทียบเกี่ยวกับสวนเพื่อแสดงการสร้างมนุษย์ของพระองค์ ว่าจุดประสงค์หลักในชีวิตของพวกเขาคือเพื่อให้เกิดผลสำหรับอาณาจักรของพระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งคือพันธสัญญาใหม่จะทำให้ชัดเจนในการนำคนเข้ามาสู่ความรอดเพิ่มมากขึ้น

       มาระโก 4 แสดงให้เห็นสิ่งนี้ในอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านและเมล็ดพืช ในแผนการช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์ พระยาห์เวห์ต้องทำความสะอาดแปลงและไถดินให้พร้อมก่อน สิ่งถัดไปคือขั้นตอนการปลูกที่เมล็ดจะถูกใส่ลงในดินเพื่อผลิตผล

       จากนั้นคุณต้องมีน้ำและใส่ปุ๋ยให้กับดินเพื่อให้เริ่มผลิตพืชเขียวขจี จากนั้นมีเมล็ดเล็กๆ ในช่อออกรวมกัน และแล้วมันจะเติบโตจนถึงการเก็บเกี่ยวพร้อมฝนสุดท้าย เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ชาวนาต้องแยกข้าวสาลี (เมล็ดพืช) ออกจากแกลบ (เปลือกที่ว่างเปล่า)

มาระโก 4:2-9 THSV11
[2] พระองค์จึงตรัสสั่งสอนพวกเขาหลายประการเป็นอุปมา และในการสอนนั้นพระองค์ตรัสว่า [3] “จงฟังเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช [4] และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย [5] บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก [6] แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป [7] บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล [8] บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” [9] แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”

       จุดประสงค์ของคำอุปมา

มาระโก 4:10-20 THSV11
[10] เมื่อฝูงคนไปแล้ว คนที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคน ได้ทูลถามพระองค์ถึงอุปมานั้น [11] พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ข้อความทุกอย่างจะแจ้งเป็นอุปมาแก่บุคคลภายนอก [12] เพื่อว่าแม้พวกเขาดูแล้วดูเล่า แต่จะมองไม่เห็นแม้ฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจมิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้าและได้รับการอภัย”[13] พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอุปมาเรื่องนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจะเข้าใจเรื่องอุปมาทั้งหมดได้อย่างไร? [14] ผู้ที่หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ [15] ส่วนที่ตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านลงไป แล้วทันทีที่พวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะที่หว่านในตัวเขาไปเสีย [16] ส่วนที่ตกลงไปในพื้นหินนั้น ได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี [17] แต่ไม่ได้หยั่งรากลงในตัวจึงทนอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที [18] ส่วนพืชที่หว่านลงกลางหนามนั้นได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ [19] แล้วความกังวลของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งต่างๆ ประดังเข้ามา และรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล [20] ส่วนพืชที่หว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”

       ดังนั้นเราจึงเห็นว่าเมล็ดพันธุ์คือพระวจนะของพระยาห์เวห์ และยาห์ชัวอธิบายว่าเมื่อปลูกเมล็ดพันธุ์หรือพระวจนะนี้ที่ไหนในโลก จะขึ้นอยู่กับว่ามันจะเกิดผลมากเพียงใด หรือจะมีกี่คนมาถึงความเชื่อในพระองค์ ดังนั้นเช่นเดียวกับในหนังสือปฐมกาล เราเห็นว่าไม่ใช่มะเขือเทศหรือธัญพืชที่ถูกเก็บเกี่ยว แต่เป็นผู้คน

       เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของการคัดกรอง เพราะพระยาห์เวห์ได้เริ่มแยกเมล็ดข้าวสาลีออกจากแกลบแล้ว มาดูที่มัทธิว 13 และดูว่าพระยาห์เวห์กล่าวถึงช่วงเวลาที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ว่าอย่างไร

มัทธิว 13:10-17 THSV11
[10] ส่วนสาวกทั้งหลายจึงมาทูลพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นอุปมา?” [11] พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ โปรดให้พวกท่านรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้ [12] เพราะว่าใครมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา [13] เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ [14] สภาพของพวกเขาก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า‘พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริง แต่จะไม่เข้าใจจะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น[15]  เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชาหูก็ตึงและตาของพวกเขาก็ปิดเกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาจะได้ยินด้วยหูและจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมาและเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’[16] “แต่นัยน์ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน [17] เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมจำนวนมาก ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่ก็ไม่เคยได้เห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่เคยได้ยิน

       ก่อนอื่น เมื่อเรามองเห็นพระคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้น เราควรเข้าใจว่าทำไมคนส่วนใหญ่ แม้แต่ผู้ที่ถูกเรียกว่าคือผู้เชื่อในพระคัมภีร์ ก็ไม่เข้าใจความจริงพื้นฐานที่สุดของพระคัมภีร์หรือการพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้าย เพราะพวกเขาได้ทำให้ใจของตนแข็งกระด้างต่อพระวจนะของพระยาห์เวห์และต่อการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา

มัทธิว 13:24-30 THSV11
[24] พระองค์ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของตน [25] แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป [26] เมื่อต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นมาปรากฏด้วย [27] บรรดาทาสของเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านไม่ใช่หรือ? แต่มีข้าวละมานมาจากไหน?’ [28] นายก็ตอบว่า ‘นี่เป็นการกระทำของศัตรู’ ทาสเหล่านั้นจึงถามว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้เราไปถอนและเก็บข้าวละมานไหม?’ [29] แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย [30] ให้ทั้งสองเติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งบรรดาผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงรวบรวมไว้ในยุ้งฉางของเรา” ’ ”

       ก่อนอื่นให้รวบรวมข้าวละมานแล้วผูกเป็นฟ่อนเพื่อนำไปเผา แต่ให้รวบรวมข้าวสาลีใส่ในยุ้งฉางของพระองค์ และคำอธิบายของอุปมาเรื่องนี้ที่สำคัญที่สุดคืออะไร?

มัทธิว 13:36-43 THSV11
[36] แล้วพระเยซูเสด็จไปจากฝูงชนเข้าไปในบ้าน พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์โปรดอธิบายให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าใจอุปมาเรื่องข้าวละมานในนานั้น” [37] พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ [38] และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย [39] ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชเลวได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวทั้งหลายนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ [40] เพราะฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น [41] บุตรมนุษย์จะใช้บรรดาทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน [42] และจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน [43] เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด

       นี่คืออุปมาที่น่ากลัวมากเพราะมันหมายถึงว่า ซาตานปีศาจได้หว่านข้าวละมาน (ผู้เชื่อเทียมเท็จ) ไว้ท่ามกลางข้าวสาลีที่แท้จริง (ผู้เชื่อแท้) ของยาห์ชัว ผู้เหลืออยู่ที่แท้จริงของยาห์ชัวเคยเห็นผู้คนที่อยู่ท่ามกลางเราซึ่งเห็นแก่ตัว เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และมีผลของพระวิญญาณน้อยมากหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เราไม่ต้องการที่จะเป็นผู้ตัดสิน ดังนั้นเราจึงพยายามเชื่อว่าผู้คนเหล่านี้กำลังพยายาม แต่เพียงแค่ต้องใช้เวลานานขึ้นในการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในชีวิตของพวกเขา

       เราไม่ต้องการตัดสินพวกเขาเพราะเราไม่ต้องการถูกตัดสินเช่นกัน (มัทธิว 7:1-2) และในพระวจนะของพระยาห์เวห์ เราพึ่งอ่านพระคัมภีร์ที่บอกให้ปล่อยให้พวกเขาเติบโตร่วมกันจนกว่าจะเก็บเกี่ยว มิฉะนั้นคุณอาจจะทำให้ข้าวสาลีหายไปพร้อมกับข้าวละมาน

       นี่หมายความว่าถ้าเราเริ่มที่จะนำพี่น้องเหล่านี้ที่ไม่ปฏิบัติตามระบบระเบียบของพระยาเวห์ (Judicial order) และมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขาน้อยมาก และแทบจะไม่เกิดผลใดๆ สำหรับอาณาจักรออกไป จะเกิดความเสียหายจากผลกระทบดังกล่าว และพี่น้องที่แท้จริงคนอื่นๆ อาจจะถูกทำให้ไม่พอใจ และอาจเกิดการแตกแยกที่อาจทำให้ผู้เชื่อที่แท้จริงบางคนต้องออกไปและถดถอย

       แต่ตอนนี้ในช่วงสุดท้ายของยุคตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ในชาวูโอทครั้งที่สองของคำพยากรณ์ เราเห็นพระวิญญาณของพระยาห์เวห์กำลังเกิดผลในกายของพระเมสสิยาห์ และเราเห็นความว่างเปล่าของข้าวละมานที่ไม่มีฤทธิ์พระวิญญาณและไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในชีวิตของพวกเขา

       เมื่อเริ่มต้นข้าวสาลีและข้าวละมาน ทั้งคู่ยังอ่อนเยาว์และมีสีเขียว และมันก็ยากมากที่จะบอกความแตกต่างระหว่างกัน อย่างไรก็ตามเมื่อข้าวสาลีเจริญเติบโตขึ้นมันจะเต็มไปด้วยของเหลวจากเมล็ด แล้วของเหลวก็จะแข็งตัวกลายเป็นเมล็ดจริง เช่นเดียวกับที่ผู้เชื่อใหม่เติบโตขึ้นและเจริญเติบโตและความเชื่อและความเข้าใจของเขาก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น หรือเราจะพูดว่ามันมีลักษณะเหมือนข้าวสาลีมากขึ้น และพวกเขาก็แข็งแรงขึ้นและไม่ถูกสั่นคลอนได้ง่ายๆ

       จากนั้น ข้าวสาลีทั้งเมล็ดจะโน้มตัวลงเหมือนกับผู้เชื่อแท้โน้มตัวลงต่อพระยาห์เวห์จากน้ำหนักของเนื้อในเมล็ดในลำต้น แต่ข้าวละมานจะตั้งตรงเพราะไม่มีน้ำหนักและแก่นสารเหมือนกับคนที่หยิ่งผยองซึ่งไม่เต็มใจยอมเปลี่ยนแปลง

       เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของกระบวนการที่พระยาห์เวห์เริ่มแยกข้าวสาลีออกจากแกลบ (chaff) และเมื่อพระยาห์เวห์เทพระวิญญาณลงมามากขึ้นบน Congregation ของผู้ที่เหลืออยู่ในยุคสุดท้ายของพระองค์ และพวกเขาก็เกิดผลมากขึ้นและทำความดีมากขึ้น ข้าวละมานก็เริ่มโดดเด่นออกมาเหมือนนิ้วที่บาดเจ็บเพราะพวกเขาไม่มีแผนการดำเนินการและพวกเขาไม่ได้เกิดผลใดๆ สำหรับอาณาจักรเลย

       จริงๆ แล้วเราอยู่ในหุบเขาที่ยิ่งใหญ่แห่งการตัดสินใจ แต่ว่าช่วงเวลานั้นกำลังผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวได้สิ้นสุดไปแล้ว เวลาแห่งการเก็บเกี่ยวกำลังจะมาถึง และเหลือเวลาอีกน้อยมากที่จะเปลี่ยนจากข้าวละมานไปเป็นผู้เชื่อแท้ ผู้เชื่อแบบข้าวสาลี

       คุณเข้าใจหรือไม่ว่าเรากำลังอยู่ตรงไหนในคำพยากรณ์? คุณเห็นการอัศจรรย์และสัญญาณที่พระยาห์เวห์มอบให้เรามากว่าสิบปีเพื่อแสดงให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเรากำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายแห่งยุคแล้ว?

       คุณกำลังเกิดผลเพื่ออาณาจักรหรือไม่? คุณเป็นข้าวสาลีหรือข้าวละมาน? สิ่งเหล่านี้กำลังปรากฏให้คุณเห็นโดยพระยาห์เวห์ในขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้นั่นเอง

Post Info

Latest Posts

Share!!

ขออภัยในความผิดพลาด ทางเราได้ทำการแก้ไขการจัดเรียนหน้าในหนังสือ The gates of hell shall not prevail against her ให้ถูกต้องแล้ว

X