Menu
The Faith. EP 7 “ ถ้าไม่มีความเชื่อ จะเป็นที่พอพระทัยไม่ได้ “
(TH) สวัสดีครับทุกคนเช้าวันนี้ในที่ๆผมอยู่อากาศดีมากๆครับ ฝนตกเล็กน้อย อุณหภูมิกำลังดีเลยครับ ชุ่มช่ำ มากๆ
ทุกคนเป็นอย่างไรกันบ้าง เขียนมาเล่าให้ผมกันบ้างน่ะครับ เอาหล่ะครับ วันนี้เราจะมาถึงอีกเรื่องหนึ่งของความเชื่อ ในหัวข้อที่ว่า ” ถ้าไม่มีความเชื่อ จะเป็นที่พอพระทัยไม่ได้ “ มาเริ่มจากพระคำกันก่อนเลยครับ
“แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์”
ฮีบรู 11:6 THSV11
ทำไมเราถึงต้องมีความเชื่อ ครับ ? จริงแล้วมันเป็นคำถามที่แปลกมากๆเลยน่ะครับ เพราะอะไรหน่ะเหรอครับ ? ก็เพราะแท้จริงมนุษย์ทุกคน ทำทุกสิ่งจากความเชื่อทั้งนั้นแหละครับ เราตื่นมาทุกเช้า เราอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ก็โดยความเชื่อแล้วครับ ยังไงหน่ะเหรอครับ ก็ดูสิครับ คุณเข้าไปห้องน้ำ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า วันนี้คุณจะไม่ลื่นล้มในห้องน้ำระหว่างที่คุณทำธุระอยู่ ? คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า ยาสีฟันที่คุณใช้อยู่จะไม่ทำอันตรายใดๆต่อคุณ ?
บางยี่ห้อ บอกว่าไม่มี ฟลูออไรด์ และบางคนก็มีความเชื่อว่าไม่ควรใช้ยาสีฟันที่มี ฟลูออไรด์ บางคนก็เชื่อว่า ควรมี
แต่คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ใส่ สารอันตรายอื่นๆมา นั้นเพราะคุณเชื่อ ว่า รัฐบาลมีมาตรการในการตรวจสอบที่ดีพอ ซึ่งแม้ ถนนทางหลวงที่ใช้อยู่ทุกวัน ยังมีการโกงเกิดขึ้นทุกๆปี ซึ่งแสดงให้เห็นมาตรฐานในการตรวจสอบของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี แต่เราก็ยังมีความเชื่อว่า เขาจะตรวจสอบความปลอดภัยในยาสีฟันให้เราทุกคน
พอจะคิดอะไรได้มั้ยครับ ว่าเราใช้ความเชื่อ ทุกวัน วันล่ะ หลายๆเรื่อง อย่างเป็นธรรมชาติ หรือ เป็น อัตโนมัติ
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไรล้วนเกิดจากความเชื่อทั้งนั้น เชื่อเรื่องการกินคลีน เชื่อเรื่องการลดน้ำหนัก เชื่อเรื่องโรงเรียน เชื่อเรื่องเงินจะแลกมาด้วยความสุข เชื่อความปลอดภัยที่มาจากการซื้อประกันต่างๆ เชื่อว่าอาหารในห้างสรรพสินค้าที่มียี่ห้อจะสะอาดกว่า อาหารตามข้างถนน เราใช้ความเชื่อในทุกๆเรื่องครับ เห็นหรือยังครับ ว่ามนุษย์ ดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ และ มนุษย์จะไม่ทำอะไรถ้าเขาไม่เชื่อครับ หรือเราอาจจะเรียกว่า ถ้าเราไม่มั่นใจอะไรเราก็จะไม่ทำนั้นเอง จำได้มั้ยครับ ? “ความเชื่อคือความแน่ใจ”
ทีนี้เราเชื่ออะไรๆก็ตามเพราะเราได้เห็นมันก่อน เราได้พิสูจน์มันแล้วจนแน่ใจ เราได้ฟัง ได้อ่านข้อมูล ได้รับประสบการณ์ บางอย่าง จนเกิดเป็นความแน่ใจบางอย่างในสิ่งนั้นๆ โดยที่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันจริงหรือไม่ ?
เราขอแค่มีอะไรบางอย่างมาทำให้เรากล้าพอจะตัดสินใจเท่านั้น แล้วที่เหลือก็ต้องใช้คำว่า “ไว้ใจกัน” คอยหล่อเลี้ยงให้แต่ล่ะสิ่งที่เราเลือก เกิดผลได้ตามที่เราหวัง
เอาหล่ะ ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ คือ มนุษย์ทุกคนทำทุกอย่างที่เขาเชื่อ และคนส่วนใหญ่เชื่อในสิ่งที่เขามองเห็นด้วยตาเท่านั้น ใช่มั้ยครับ ดังนั้น จึงมีบางคนตัดสินใจทำบางอย่างที่ ไม่เหมือนคนอื่น เพราะ เขาเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นครับ แต่โลกนี้มีสิ่งที่มองไม่เห็นแล้วผู้คนเชื่อว่า จะสามารถช่วยเขาได้ มากมาย เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คำสัญญา ความรัก เป็นต้น นั้นแหละครับ คือ ความเชื่อที่พระคัมภีร์หมายถึง เราใช้ความเชื่อแบบที่เราใช้ในการตัดสินใจซื้อสิ่งของต่างๆ ในการตัดสินใจ เชื่อฟังสิ่งต่างๆในพระคัมภีร์ และสิ่งที่พระคัมภีร์พูดถึง คือ พระยาห์เวห์ องค์เอโลฮีม หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา และพระองค์ ไม่มีรูปจำลองใดๆไว้ให้มนุษย์ ดูต่างพระพักต์ พระองค์ มนุษย์เลยต้องใช้ความเชื่อ ในการพบพระองค์ ใช้ความเชื่อในการได้สัมผัสพระองค์ เท่านั้น
”ความเชื่อ“ จึงเป็น ตัวกลางในการสื่อสาร ระหว่าง มนุษย์ กับ พระยาห์เวห์ เมื่อใดก็ตาาที่เขา อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ เขาต้องใช้ความเชื่อ ? เมื่อเขาอธิษฐานจบ ระหว่างที่เขายังไม่ได้คำตอบ หรือ การตอบคำอธิษฐาน เขาต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ” การวางใจ “ เพื่อเขาจะรอคอยได้ และรอคอยอย่างใจว่า พระยาห์เวห์ทรงตอบและกำลังดำเนินการบ่งอย่างให้เราอยู่ เพียงแต่สิ่งนั้นๆ ยังไม่ถูกทำให้เกิดขึ้นในเวลานั้นๆแต่จะเกิดขึ้นในเวลาที่ถูกต้องนั้นเอง และเราเพียงต้องนำเครื่องถวายบูชา มาเป็นตัวแลกเปลี่ยน คล้ายๆ กับ สิ่งของแก้บ่น หรือ ดอกไม้ธูปเทียน ที่เวลา คนไทยไปวัดไปกราบนมัสการพระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็คงไม่มีใครมามือเปล่า หรือ เมื่อได้รับคำตอบแล้ว จะเพิกเฉยต้องข้อตกลง ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ จริงมั้ยครับ ?
ทีนี้ในพระยาห์เวห์ สิ่งที่เราจะนำมาเป็นเครื่องสัการะบูชาได้อย่างแรก คือ ยาห์ชัว พระเมสิยาห์ และนี้จึงเป็นที่มาว่า ทำไมเราต้อง ”เชื่อใน ยาห์ชัว พระเมสิยาห์ “ ใช่แล้วครับ นี้เป็นเครื่องบูชาที่ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆ เราสัมผัสเครื่องบูชาต่อพระยาห์เวห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด ได้เพียง เรื่องราว ที่มา และ การงานต่างๆของพระองค์ และสิ่งที่สัมผัสได้ง่ายที่สุด คือ ” พระนาม “ หรือชื่อของเครื่องบูชานี้ นั้นเอง พระนาม จึงกลายเป็นสิ่งเดียวที่เราจะสามารถ นำเครื่องบูชาสัการะพระยาห์เวห์ มาถวายพระองค์ได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น ถ้าเราเรียกชื่อผิด
มันก็เหมือนกัน เราตั้งใจ เอาหัวหมูไปถวายเทพสักองค์หนึ่ง แต่แม่ค้ากลับนำเอา หัวสุนัข มาให้เราไปถวายเทพ แทน เราคิดว่า มันจะเป็นไปได้มั้ยครับ ฟังดูอาจจะเวอร์ไปสักหน่อย แต่ถ้าเรา เขียนในใบสั่งซื้อ ”หัวหมู“ ว่า สั่ง ”หัวหนู“ 1 หัว คุณคิดว่า คุณจะได้หัวหมู มาจริงๆเหรอครับ
เอาหล่ะ ที่ผมอธิบายมาตั้งยาวก็เพื่อให้เราเริ่มเข้าใจ นิยามที่แท้จริงของความเชื่อ นั้นเองครับ มาถึงตรงนี้ ขนาดเราจะบูชาสักการะพระยาห์เวห์ ที่ต้องใช้ความเชื่อ ในการติดต่อสื่อสารแล้ว ก็ยังต้องใช้ความเชื่อในการ ถวายเครื่องบูชา ที่เราจับต้องไม่ได้อีก นั้นคือ ความหมายของ การเชื่อ ใน ยาห์ชัว ว่า ” ยาห์ชัว ทรงเป็นพระเมสิยาห์ “
ความเชื่อว่า ยาห์ชัว ท่านนี้ คือ พระเมสิยาห์ คือ ยาห์ชัวท่านนี้เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องบูชาเพื่อจะลบล้างบาปของเราได้จริงๆ มีเพียงชื่อนี้เท่านั้น ที่เราจะใช้กล่าวอ้างโดยความเชื่อ ต่อพระยาห์เวห์ ที่เราเข้าพบพระองค์เพื่อสักการะบูชา โดยความเชื่อเช่นกัน เพราะ ทั้งสอง สิ่ง ทั้งพระยาห์เวห์ ผู้ดลบันดาลทุกสิ่งให้เราได้ และ ยาห์ชัว ผู้เป็นเครื่องถวายบูชาหลัก ในการสักการะพระยาห์เวห์ นั้น ทั้งสองพระองค์เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆ ไม่มีรูปจำลองไว้ดูต่างพระพักต์ นั้นเอง
และหากปราศจาก ยาห์ชัว ที่เป็นดังเครื่องบูชา “หลัก” แล้ว เราจะไม่สามารถ เข้าพบพระยาห์เวห์ได้เลย
และแม้เราจะนำสิ่งใดมาเป็นเครื่อง สักการะบูชาต่อพระยาห์เวห์ ก็จะไม่สามารถส่งถึงพระยาห์เวห์ได้เลย
หรือเรียกว่า “ จะถูกปฏิเสธ” นั้นเอง
“เพราะฉะนั้น เมื่อพระเมสิยาห์เสด็จเข้ามาในโลกแล้ว พระองค์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์เจ้าข้า เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ พระองค์ไม่ทรงประสงค์ แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมกายสำหรับข้าพระองค์ เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาลบบาปนั้น พระองค์ไม่พอพระทัย แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อจะทำตามพระทัยของพระองค์’ ตามที่มีเรื่องข้าพระองค์เขียนไว้ในหนังสือม้วน” เมื่อพระองค์ตรัสในตอนแรกว่า “เครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ และเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาลบบาป (ที่ได้ถวายตามธรรมบัญญัตินั้น) พระองค์ไม่ทรงประสงค์และไม่พอพระทัย” แล้วยาห์ชัวพระองค์ท่านก็ตรัสด้วยว่า “ข้าพระองค์มาแล้วเพื่อจะทำตามพระทัยของพระยาห์เวห์” พระองค์ท่านทรงยกเลิกระบบเดิมนั้นเสียเพื่อจะทรงตั้งระบบใหม่ และโดยพระประสงค์นั้นเอง เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของยาห์ชัวพระเมสิยาห์ครั้งเดียวเป็นพอ เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์โดยพระโลหิตของยาห์ชัว ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ทรงเปิดให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือทางพระกายของพระองค์ และเมื่อเรามีปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้าแล้ว ก็ให้เราเข้าไปใกล้ด้วยใจจริง ด้วยความไว้ใจเต็มที่ มีใจที่ได้รับการประพรมให้พ้นจากมโนธรรมที่ไม่ดี และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำสะอาด”
ฮีบรู 10:5-10, 19-22 THSV11
ทีนี้พอเข้าใจหรือยังครับ ว่าถ้าใครไม่มีความเขื่อใน พระบิดายาห์เวห์ เขาก็จะไม่ต้องการ นมัสการ สักการะ พระองค์ เพราะเขาไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระองค์ และต่อมาใครไม่เชื่อใน “ยาห์ชัว พระบุตร” ( คนยิวส่วนใหญ่ไม่เชื่อจุดนี้ ) เขาก็จะไม่สามาาถ ถวายเครื่องสักการะบูชา ต่อพระบิดายาห์เวห์ ได้ และการจะถวายเครื่องสักการะบูชาต่อพระบิดายาห์เวห์ได้ คือ การออกพระนามยาห์ชัว พระเมสิยาห์ ให้ถูกต้องนั้นเอง โดยเชื่อว่าพระองค์ผู้นี้เป็นเครื่องบูชาเดียว ที่พระยาห์เวห์ ทรงพอพระทัยที่จะรับไว้ และ เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงอภัยบาปให้กับคนนั้นที่เชื่อว่า ยาห์ชัว คือ เครื่องบูชาสำหรับลบบาปของตัวเขาเอง และใครก็ตาม ที่ไม่ ออกพระนามนามให้ถูกต้อง เขาก็มีโอกาส จะนำเอาเครื่องสักการะบูชามาผิด ซึ่งเป็นเหตุให้เขาถูกปฏิเสธ ได้ในที่สุด
เห็นมั้ยครับ “ถ้าใครไม่มีความเชื่อ เขาจะไม่เป็นที่ชอบใจของพระยาห์เวห์” เลย ดังนั้นให้เราทบทวนความเชื่อน่ะครับ และนี้เป็นเพียงความเชื่อ เบื้องต้นเท่านั้น ยังมีความเชื่อ อื่นๆอีก เช่น เชื่อในการเป็นขึ้นจากตาย เชื่อในพันธสัญญา (ใหม่) นิรันดร์ ไว้มาคุยกันต่อ EP หน้าครับ
ชาโลม
เอลเดอร์ โป้ง
The Faith. EP 7 ” But without faith it is impossible to please YAHWEH “
(EN) Hello everyone, this morning in the place where I am, the weather is very nice. It’s drizzling a little, and the temperature is just right, very refreshing. How is everyone doing? Write and tell me how you are. Alright, today we are going to discuss another topic of faith, under the subject that says ‘But without faith it is impossible to please YAHWEH.’ Let’s start with the scripture.
But without faith it is impossible to please YAHWEH. For it is right that the one drawing near to YAHWEH should believe that He is, and that He is a rewarder of those that diligently seek him.
Hebrews 11:6
Why do we need to have faith? Actually, it’s a very strange question. Why is that? Because in truth, every human being does everything based on faith. We wake up every morning, we take a shower, wash our face, and brush our teeth, all based on faith. How is that, you ask? Well, think about it. When you go into the bathroom, how can you be so sure that today you won’t slip and fall while you are doing your business? How can you be sure that the toothpaste you are using won’t harm you?
Some brands claim they contain no fluoride, and some people believe that toothpaste with fluoride shouldn’t be used, while others think it should be. But how can you be sure that they won’t include other harmful substances? Is it because you trust that the government has sufficient regulations in place to inspect it? Even the highways we use every day have fraud occurring every year, which clearly shows the government’s inspection standards. Yet we still believe that they will ensure the safety of toothpaste for all of us. Can you think of how we rely on faith every day, many times a day, almost naturally or automatically?
So whatever you do is all based on faith. Believing in clean eating, believing in losing weight, believing in school, believing that money will bring happiness, believing in the safety that comes from buying various insurances, believing that branded food in supermarkets is cleaner than street food. We rely on faith for everything. Do you see now? Humans live life through faith, and humans will not do anything if they do not believe. Or we could say that if we are not confident about something, we will not do it. Do you remember? ‘Faith is certainty.’
Now we believe in things because we have seen them first. We have proven them to be true until we are sure. We have listened, read information, and gained experiences. Some people are certain about certain things without even knowing whether they are real or not. We just need something to make us bold enough to decide, and then we have to use the phrase ‘trust each other’ to nurture everything we choose to bear fruit in what we hope for.
Okay, the problem is this: Every human does everything they believe in, and most people only believe in what they can see with their eyes, right? Therefore, there are some who decide to do things differently from others because they believe in the unseen. However, there are many unseen things in this world that people believe can help them, such as the sacred, promises, love, etc. That is the faith that the Bible refers to. We use the same kind of faith that we apply when deciding to buy things to decide to believe in the messages in the Bible. And what the Bible speaks of is Yahweh, Elohim, who cannot be seen with the eye, and He does not have any images for humans to look at. Thus, humans must use faith to encounter Him and to experience Him.
“Faith” is therefore a medium of communication between humans and Yahweh. Whenever he prays to Yahweh, he must use faith. When he finishes praying, while he has not yet received an answer or a response to his prayer, he must use something called “trust” so that he can wait patiently, believing that Yahweh will answer and is in the process of doing something for us. It’s just that those things have not yet come to fruition at that moment, but will occur at the right time.
We only need to bring offerings to exchange, similar to offerings or incense and candles that Thai people bring when they visit a temple to worship a Buddha statue or any sacred being. No one would come empty-handed. Or, once an answer is received, one cannot ignore the agreement made earlier, right?
Now in Yahweh, what we can bring as a sacrifice first is Yahshua the Messiah, and this is the reason why we must “believe in Yahshua the Messiah”. Yes, this is a sacrifice that cannot be seen with the naked eye. We can touch the sacrifice to Yahweh, the Most High Elohim, only through the stories, the origins, and His works, and the easiest thing to touch is the “name” or the name of this sacrifice. Therefore, the name becomes the only thing we can properly offer as a sacrifice to Yahweh. Thus, if we call the name incorrectly, it’s like we intentionally brought a pig’s head to offer to a deity, but the seller instead gives us a dog’s head to offer instead. Do you think that could happen? It may sound a bit exaggerated, but if we write on the order form “pig’s head” and instead we order a “mouse’s head” 1 piece, do you think you will actually receive a pig’s head?
Alright, the long explanation I’ve given is to help us begin to understand the true definition of faith. At this point, even when we worship Yahweh, we need to use faith to communicate and we still need faith to offer sacrifices that we cannot physically touch. This is the meaning of believing in Yahshua that “Yahshua is the Messiah.” The belief that this Yahshua is the Messiah, it is only this Yahshua that can truly be the sacrifice to atone for our sins. Only this name can we claim by faith before Yahweh, whom we go to meet for worship, also through faith. Because both of these entities, Yahweh who can bring everything to us, and Yahshua who is the primary offering in the worship of Yahweh, we cannot see with our naked eyes. There are no images to look upon their faces.
And without Yahshua, who is like the ‘main’ offering, we cannot approach Yahweh at all. Even if we bring anything as an offering to Yahweh, it will not reach Yahweh at all, or in other words, it will be ‘rejected’.
For this reason, coming into the world, He says, “Sacrifice and offering You did not desire, but You prepared a body for Me. You did not delight in burnt offerings and sin offerings.” “Then I said, Lo, I come, as it is written about me in the beginning of the Books I delight to do Your will, O Elohim.” Above, when He said, “You did not desire nor were pleased with sacrifice and offering and burnt offerings and sacrifices concerning sins,” which are offered according to the Levitical Law, then He said, “Lo, I come to do Your will, O Elohim.” He takes away the first in order that He may set up the second; by which will we are sanctified through the offering of the body of Yahshua Messiah once for all. Therefore, brothers, having confidence for the entering of the Holy of Holies by the blood of Yahshua, which He consecrated for us, a new and living way through the veil; that is, His flesh; and having a Great Priest over the house of YAHWEH, let us draw near with a true heart in full assurance of faith, our hearts having been sprinkled from an evil conscience, and our body having been washed in pure water;
Hebrews 10:5-10, 19-22
Now, do you understand that if someone does not have faith in the Father Yahweh, they will not desire to worship Him because they do not believe in His existence? Furthermore, if someone does not believe in ‘Yahshua the Son’ (most Jews do not believe in this point), they will not be able to offer sacrifices to the Father Yahweh. To offer sacrifices to the Father Yahweh, it is essential to correctly invoke the name Yahshua the Messiah, believing that He is the only acceptable sacrifice to Yahweh, so that Yahweh may forgive the sins of those who believe that Yahshua is the sacrifice for their own sins. Anyone who does not correctly invoke this name has the chance of bringing offerings incorrectly, which ultimately leads to their rejection.
Do you see? “If anyone does not have faith, he will not be pleasing to Yahweh.” So let’s review our faith, alright? And this is just the basic faith. There are other faiths as well, such as believing in resurrection, believing in the eternal (new) covenant. Let’s discuss this further in the next episode.
Shalom
Elder Pong
Congregation of YHWH, Thailand ชุมชนของพระยาห์เวห์ แห่งประเทศไทย
