Menu
(TH) The Faith. EP 9 “ความเชื่อต้องได้รับการพิสูจน์เสมอ”
สวัสดีครับทุกคนเรายังอยู่กับ ซีรี่ย์ของคำว่า “ความเชื่อ” เป็นคำที่พูดง่าย เข้าใจยาก และ แม้อยากทำได้แต่ก็ไม่ง่ายที่จะทำ จริงมั้ยครับ
ผมเองเดิมทีตั้งใจว่าจะเขียนถึงเรื่องความเชื่อ แค่ 7-8 Ep เท่านั้น แต่ยิ่งเขียนไปก็พบว่า ยังไม่สามารถ อธิบายความหมายของความเชื่อและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อได้ครบถ้วน ครับ วันนี้เราเลยมาคุยกันต่อใน EP นี้ครับ วันนี้เรามาคุยกันในหัวข้อ “ความเชื่อต้องได้รับการพิสูจน์เสมอ”
คืออย่างงี้ครับ ผู้เชื่อมากมาย แม้เรียกตัวเองว่าผู้เชื่อ แต่บางครั้งเขาก็ไม่มีความเชื่อ หรือบางคนอาจไม่เคยเชื่อเลยด้วยซ้ำ บางคนคิดว่าเชื่อแล้วนี่หน่าแต่พอมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็ละทิ้งความเชื่อไป นั่นเป็นหลักฐานว่า เรายังไม่มีความเชื่อที่สมบูรณ์นั่นเองครับ การทดสอบความเชื่อจึงต้องเกิดขึ้นครับ เหตุผลแรกก็คือ เพื่อเราจะได้เห็นความจริงว่า “เรามีความเชื่อมากแค่ไหนแล้ว” เหตุผลที่สองก็คือ ในเมื่อความเชื่อที่เราพูดถึง คือ การเชื่อว่า ยาห์เวห์ คือ เอโลฮีมที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นจากพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำอธิษฐานหรือการช่วยกู้ ที่มาจากความเชื่อของเรา “จำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์”
“ท่านจงระลึกถึงทางซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงนำท่านในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เพื่อจะทรงทำให้ท่านถ่อมใจ และทรงทดสอบเพื่อจะทราบว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร ดูว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่”
เฉลยธรรมบัญญัติ 8:2 THSV11
หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติข้อนี้ได้อธิบายจุดประสงค์ของพระยาห์เวห์ที่พระองค์ต้องทดสอบเราก็เพื่อเราจะได้เห็น “สภาพจิตใจของเรา” นั่นเอง หรือพูดง่ายๆ คือ เราจะได้เห็นว่าแท้จริงเรามีความเชื่อหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ? ดังนั้น อะไรคือ เครื่องมือ ในการทดสอบหล่ะครับ ใช่แล้ว ธรรมบัญญัติ นั้นเอง เพราะในขณะที่เราดำเนินชีวิตกับพระยาห์เวห์ ในทุกๆวันสิ่งเดียวที่จะแสดงว่าเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ นั่นคือ การดำเนินชีวิตอยู่ในวิถีของพระองค์ และเรารู้จักวิถีของพระองค์ได้จากไหนหล่ะครับ ใช่แล้ว จาก ธรรมบัญญัติ นั้นเอง
นั่นคือ เหตุผลง่ายๆที่เราจะใช้ตอบตัวเองว่าสรุปแล้ว ยาห์เวห์ยกเลิกธรรมบัญญัติ จริงหรือไม่ ? เอาล่ะต่อมา เมื่อเราดำเนินชีวิตปกติๆทุกๆวันเรามีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์ ผ่านวิถีชีวิตตามธรามบัญญัติ กล่าวคือ เมื่อเราเชื่อฟังทำตามธรรมบัญญัติได้ เราก็ได้รับพร แต่เมื่อเรามีชีวิตที่ “ขัดต่อ” ธรรมบัญญัติ เราก็ได้รับคำสาปแช่ง นี้เป็นข้อตกลงง่ายๆ ดังนี้เราก็จะเห็นพระยาห์เวห์ในชีวิตประจำวันของเราได้เมื่อเวลาเราได้รับพร อันเนื่องมาจากชีวิตเราดำเนินอยู่ ในโทราห์ เราก็ได้เห็นพระยาห์เวห์ อวยพร มาสู่ชีวิตเรา และเมื่อเราเลือกผิดใช้ชีวิตออกนอกโทราห์ เราก็เลยต้องรับผล จากสิ่งที่เราทำ เราจึงต้องรีบ เข้าหาพระองค์เพื่อขอรับการอภัย เพราะพระยาห์เวห์ทรงมีเมตตา แต่หากเราไม่กลับใจ เราก็จะได้รับคำสาปแช่งในที่สุด นั่นก็แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของพระยาห์เวห์ ที่เชื่อมโยงกับชีวิตของเราครับ
ทีนี้ประเด็นอยู่ที่ตรงนี้ครับ อยู่ตรงคำว่า “ความเชื่อ” เพราะความเชื่อคือ สิ่งที่อยู่สูงกว่า ธรรมบัญญัติตามตัวหนังสือ ดังนั้นการที่เราทำตามบัญญัติในสภาวะปกติสุขธรรมดาๆ ทุกวันนั้นจึงยังไม่ถือว่า เรามีความเชื่อ แต่เมื่อใดก็ตามที่ มีบางสิ่งที่กดดันให้เรา ดำเนินชีวิตขัดต่อโทราห์ หรือ ธรรมบัญญัติ แต่!! “เรายังเลือกจะทำตามโทราห์อยู่” ความเชื่อ ของเราจึงเริ่มปรากฏออกมานั่นเอง “การทดลอง” จึงเป็นส่วนนึงที่จะเกิดขึ้นกับเราเพื่อจะทำให้ความเชื่อเราปรากฏออกมาได้ ยกตัวอย่างนะครับ เราซื้อ รถยนตร์ มาคันนึง และรถของเรามีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งนี้ คือ ระบบที่ถูกติดตั้งมาพิเศษ และนี่ทำให้รถเราพิเศษกว่าคันอื่นๆ และมีราคาสูงกว่า ใช่แล้วครับ รถโฟรย์วีล จะไม่สามารถโชว์ศักยภาพของมันได้เลยหากมันถูกขับขี่บนถนนที่เรียบๆ ทั่วไป แต่มันจะพิเศษขึ้นมาได้และพิสูจณ์ว่า มันถูกสร้างมาอย่างพิเศษจริงๆได้ ก็ต่อเมื่อ มันได้ถูกนำไปขับขี่ บนหนทางที่ไม่ปกติ หรืออาจเรียกว่า หนทางที่ไม่ใช่ถนน เลยก็ว่าได้ ยิ่งพามันไปขับขี่บนสภาพถนนที่เลวร้ายมากแค่ไหน รถคันนั้นของคุณก็จะยิ่งโชว์ความสามารถที่ตัวมันมีได้มากขึ้นเท่านั้น เจ้าของรถ off road ส่วนใหญ่เลยพยายามที่จะหาโอกาสพาเจ้ารถคันโปรดของตัวเองไปขับขี่บนเส้นทางที่ยากลำบากเสมอๆ ยิ่งลำบากมากเท่าไร เมื่อพวกเขาสามารถนำรถของตัวเองผ่านอุปสรรคมาได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็ยิ่งภูมิใจและจะรักรถของเขามากขึ้นเท่านั้น และสังเกตุดูดีๆนะครับ รถจะไม่สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ถ้าไม่มีคนขับ และยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่เจ้าของรถหักพวงมาลัยไปทางขวาแต่ถ้ารถกลับเลี้ยวซ้าย นั่นแปลว่า อะไรครับ รถคันนั้นกำลังเสียอยู่นั่นเอง และแน่นอนเจ้าของก็จะรีบเอารถคันโปรดของเขาไปซ่อม แต่ถ้าซ่อมแล้ว มันยังเสียอยู่ จนนายช่าง ต้องปฏิเสทการซ่อม สุดท้ายเจ้าของก็ไม่มีทางเลือก นอกจาก ขายทิ้งไป เท่านั้น wowwww !!!
ตัวอย่างนี้ อธิบายให้สามาาถเข้าใจวิถีชีวิตทั้งหมดของความเชื่อที่เรามีต่อพระยาห์เวห์ได้เลยน่ะครับ เรามาดูกันทีล่ะข้อน่ะครับ
อย่างแรก เราทุกคนถูกสร้างมามีความพิเศษแตกต่างกันจริงมั้ยครับ
“ในบ้านหลังใหญ่ไม่ได้มีแต่ภาชนะทองและภาชนะเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้และภาชนะดินด้วย บางอย่างนั้นเป็นภาชนะพิเศษ บางอย่างก็เป็นภาชนะธรรมดา ถ้าใครชำระตัวเองให้พ้นจากความชั่วเหล่านี้ เขาก็จะเป็นภาชนะพิเศษ ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เหมาะที่เจ้าของจะใช้เป็นประโยชน์ และพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง”
2 ทิโมธี 2:20-21 THSV11
ดังนั้นเราก็จะถูกใช้ หรือ พูดอีกอย่างว่าเราจะถูกทดสอบตามความพิเศษของเรานั่นเอง เพื่อให้ศักยภาพของเรานั้นถูกใช้มันออกมานั่นเปรียบเหมือนชีวิตของเราที่ต้องถูกทดสอบเพื่อให้ความเชื่อของเราปรากฏชัดออกมานั้นเอง
“พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อพวกท่านพบกับการทดลองใจต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง เพราะพวกท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความทรหดอดทน และจงให้ความทรหดอดทนนั้นมีผลอย่างสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่สมบูรณ์และดีพร้อม โดยไม่ขาดสิ่งใดเลย”
ยากอบ 1:2-4 THSV11
“จงพิจารณาตัวเองดูว่าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงพิสูจน์ตัวเอง พวกท่านไม่ตระหนักว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายหรือ? นอกจากพวกท่านไม่สามารถผ่านการพิสูจน์”
2 โครินธ์ 13:5 THSV11
“พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูกของพระเจ้า และถ้าเราเป็นลูกแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์ก็เพื่อจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่ควรจะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรีซึ่งจะเผยให้แก่เราในอนาคต”
โรม 8:16-18 THSV11
และถ้าเจ้าของหักพวงมาลัยไปทางขวาแต่รถกลับเลี้ยวไปทางซ้าย หรือ สต้าร์ทเครื่องแต่เครื่องยนตร์ไม่ติด ก็แปลว่า รถเสียใช่มั้ยครับ
ก็จำเป็นต้องซ่อมแซม ปรับปรุงรถให้กลับมาใช้การได้ปกติ เหมือนเราที่ต้องได้รับการตีสอนเพื่อให้เราเป็นผู้ที่ใช้การได้
“ท่านทั้งหลายจงสู้ทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นบุตรของพระองค์ เพราะว่ามีบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่ตีสอน? แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ใช่บุตร แต่เป็นลูกนอกกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น เราทั้งหลายมีบิดาเป็นมนุษย์ที่ตีสอนเรา และเราก็นับถือบิดานั้น เราจึงยิ่งควรอยู่ใต้บังคับของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ และดำรงชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ? เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อยตามความเห็นดีเห็นชอบของพวกเขา แต่พระองค์ทรงตีสอนเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะมีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์ การตีสอนทุกอย่างดูไม่น่ายินดีเลยในเวลานั้น แต่น่าเศร้าใจ แต่ภายหลังก็ก่อให้เกิดผลคือสันติสุขและความชอบธรรม แก่บรรดาคนที่ถูกฝึกฝนโดยการตีสอนนั้น เหตุฉะนั้นจงเสริมกำลังมือที่อ่อนแรง และเข่าที่อ่อนล้า และจงทำหนทางให้ตรงเพื่อเท้าของพวกท่าน เพื่อว่าขาที่เขยกนั้นจะได้ไม่เคล็ด แต่จะหายเป็นปกติ”
ฮีบรู 12:7-13 THSV11
และถ้าเจ้าของพยายามซ่อมรถแล้วแต่ไม่ดีขึ้นในที่สุดเขาก็จำใจต้องขายรถคันนั้นไปเท่านั้นเองครับ เหมือนเราที่ถูกตีสอนก็แล้ว ได้รับพระเมตตาก็แล้ว แต่ยังจงใจทำบาป คือ การไม่เดินตามพระวิญญาณ เหมือนรถที่ไม่เลี้ยวตามคนขับ สุดท้ายเราก็จะถูกทิ้งในบึงไฟครับ
“พระองค์ตรัสอุปมาต่อไปนี้ว่า “ชายคนหนึ่งปลูกต้นมะเดื่อต้นหนึ่งไว้ในสวนองุ่นของตน และเขามาหาผลที่ต้นนั้นแต่ไม่พบ เขาจึงพูดกับผู้ที่รักษาเถาองุ่นว่า ‘นี่แน่ะ เรามาหาผลที่ต้นมะเดื่อนี้สามปีแล้ว แต่ไม่พบ จงโค่นมันทิ้งไป จะให้ดินจืดไปเปล่าๆ ทำไม?’ แต่ผู้รักษาเถาองุ่นตอบเขาว่า ‘นายเจ้าข้า ขอเก็บเอาไว้อีกปี ลองให้ข้าพเจ้าพรวนดินใส่ปุ๋ยดู ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป แต่ถ้าไม่ ท่านจะโค่นมันทิ้งก็ได้’ ””
ลูกา 13:6-9 THSV11
เอาล่ะครับ พอเห็นภาพมั้ยครับว่า ทำไมยาห์เวห์จึงมอบการทดสอบทดลองให้กับพวกเรา เพราะพระองค์ทรงสร้างเรามานั่นเองพระองค์ทรงรู้ว่าเรามีความสามารถในความเชื่อได้มากแค่ไหน แต่เนื่องจาก พระองค์ มอบ อิสระในการเชื่อฟังมาให้เราด้วย มันเลยไม่ง่ายนักที่เราจะดำเนินชีวิตตามพระองค์ ละยังมีความบาปเข้ามาในร่างกายเราอีกด้วย แต่ขอบคุณยาห์เวห์ คือ พระองค์ ทรงประทานพระบุตรมาเพื่อเรา คือ เมื่อพระบุตรได้สละชีวิตเพื่อไถ่เรา จนทำให้เราสามารถมีสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราต่อสู่กับบาปในร่างกายเราได้ง่ายขึ้น สิ่งนั้นคือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์“ นั่นเอง และถ้าเราร่วมมือกับพระวิญญาญบริสุทธิ์ เราจะสามารถผ่านทุกสถานะการณ์ที่ยากๆไปได้ในที่สุดครับ
ชาโลม
เอลเดอร์ โป้ง
Congregation of YHWH, Thailand ชุมชนของพระยาห์เวห์ แห่งประเทศไทย
