Torah Today EP 03, 2025

Torah Today  ตอน “ คนขี้บ่น ”

(TH) สวัสดีครับทุกคนวันนี้กลับมาอีกแล้วสำหรับการแบ่งปันพระวจนะประจำวันน่ะครับ หลังจาก หายไป 3-4 วัน เนื่องจากผมติดธุระในการดูแลสุนัขที่เพิ่งคลอดลูก แต่วันนี้ทุกอย่างเข้าที่เรียบร้อยก็สามารถกลับมารับใช้พี่น้องในการแบ่งปันพระคำของพระยาห์เวห์เหมือนเดิมได้แล้วครับ  วันนี้เราจะพูดคุยกันในเรื่องการรอคอยเวลาของพระยาห์เวห์ ในชื่อตอนว่า ” คนขี้บ่น “

“ส่วนโมเสสกับอาโรนซบหน้าลงต่อหน้าที่ประชุมของชุมนุมชนอิสราเอล และโยชูวาบุตรนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ผู้ร่วมไปสอดแนมแผ่นดินนั้นได้ฉีกเสื้อผ้าของตน และพูดกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า “แผ่นดินที่เราไปสอดแนมดูมาตลอดนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีเหลือเกิน ถ้าพระยาห์เวห์พอพระทัยในเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปและประทานแผ่นดินนี้แก่เรา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ขอเพียงอย่าให้เรากบฏต่อพระยาห์เวห์ อย่ากลัวชาวแผ่นดินนั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นเหมือนขนมปังของเราแล้ว เกราะกำบังของพวกเขาก็ถูกนำออกไปแล้ว พระยาห์เวห์สถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย” แต่ชุมนุมชนทั้งหมดนั้นพูดว่าให้เอาหินขว้างเขาทั้งสอง ขณะนั้นพระสิริของพระยาห์เวห์ปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าคนอิสราเอลทั้งหมด และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ชนชาตินี้จะสบประมาทเรานานเท่าไร? พวกเขาจะไม่เชื่อเรานานแค่ไหน? แม้เราได้ทำการอัศจรรย์ทุกอย่างท่ามกลางพวกเขามาแล้ว เราจะประหารเขาทั้งหลายด้วยโรคระบาด และตัดเขาทิ้งไป แล้วเราจะทำให้เจ้าเป็นประเทศใหญ่โตและแข็งแรงกว่าพวกเขาอีก”
กันดารวิถี 14:5-12 THSV11

       นี้เป็นตอนที่คนอิสราเอลบ่นต่อว่าโมเสส ว่าจะพาพวกเขาไปตายที่ดินแดนพันธสัญญาที่พระยาห์เวห์สัญญาไว้ และพวกเขาจึงตั้งผู้นำขึ้นมาเองใหม่ เพื่อนำพวกเขากลับไป ยังอียิปต์

“แล้วชุมนุมชนทั้งหมดก็ร้องลั่นขึ้นมา และประชาชนร้องไห้ในคืนวันนั้น คนอิสราเอลทั้งหมดบ่นว่าโมเสสและอาโรน ชุมนุมชนทั้งหมดกล่าวกับท่านทั้งสองว่า “ให้เราตายเสียที่อียิปต์ หรือตายในถิ่นทุรกันดารนี้ยังดีกว่า ทำไมพระยาห์เวห์ทรงนำเรามาในแผ่นดินนี้ให้ล้มตายด้วยคมดาบ? ลูกเมียของเราต้องถูกปล้นเอาไป เรากลับอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ?” เขาพูดต่อกันและกันว่า “ให้เราตั้งคนหนึ่งขึ้นเป็นหัวหน้า แล้วกลับไปอียิปต์””
กันดารวิถี 14:1-4 THSV11

       เอาหล่ะครับอย่างแรก นี้เป็นการกระทำยอดฮิต คือ เวลาเราไม่พอใจผู้นำที่พระยาห์เวห์ทรงตั้งไว้ หรือ เวลาเราไม่พอใจสิ่งที่ยาห์เวห์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา หรือ เวลารู้สึกว่าพระยาห์เวห์ชักช้าไม่อวยพรเราสักที หรือรู้สึกว่าผู้นำที่พระยาห์เวห์เจิมไว้ทำสิ่งต่างๆช้าไม่ทันใจ คือโดยสรุป อะไรก็ตามที่ไม่เป็นดังใจ “ ช้าบ้างหล่ะ พามาผิดทางบ้างหล่ะ  ใช่แบบนี้เหรอ ทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ดูสิวิธีนี้ดีกว่าตั้งเยอะ ” ลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นในผู้เชื่ออยู่เสมอครับ พวกเขาเป็นคนชอบบ่น ยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณที่ร่วมงานกับพระยาห์เวห์ผ่านชุมชุมชนของพระองค์ไม่เป็น พวกเขาถนัดทำงานคนเดียว นำตัวเอง ไม่ตามใคร ไม่รอ ไม่อดทน ไม่ไว้ใจ ไม่เคารพในการตัดสินใจของผู้ที่ได้รับเลือก ใดๆก็ตาม ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ลักษณะนี้เกิดขึ้นกับเราทุกคน เราทุกคนน่ะคับ ไม่มากก็น้อย

       แล้วสิ่งที่ตามมาเมื่อเราเริ่มมีแนวคิดแบบนี้ คือ “บ่น” ต่อว่าผู้นำ ก่อนเป็นด่านแรก และต่อมาโดยไม่ทันระวังเขาจะ “บ่น” ต่อว่า พระยาห์เวห์ โดยไม่ทันรู้ตัวเขาทำสิ่งที่น่ากลัวเข้าแล้ว

       และต่อมาเขาจะสร้างหนทางของตัวเองขึ้นมาให้ คล้ายๆเป็นวิธีนมัสการพระยาห์เวห์ในแบบตัวเอง เหมือนช่วงการสร้าง “ วัวทองคำ ”  คือ จะมีแผนการที่แยกออกจากแผนที่ส่วนรวมวางเอาไว้ เริ่มมีวิธีการที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ ในที่ประชุมสรุปกันเอาไว้ แบบอารมณ์ว่า เอาแบบนี้แล้วกัน แบบนั้นชั้นไม่ถนัด เอาแบบนี้ดีกว่าแบบนั้นมันช้าเปลืองเวลามากๆ และอื่นๆอีกมากมายที่จะหาเหตุผลว่า “ทำไมฉันจึงต้องสร้างวิธีใหม่ขึ้นมาเอง ” สิ่งนี้จะเหมือนกับคนอิสราเอลที่บ่นต่อว่า ผู้นำอย่างโมเสส และในที่สุดเขาบ่นต่อว่า พระยาห์เวห์ เพียงเพราะ มันไม่ได้ดังใจเขา

       เขา  “ ไม่วางใจ” และ “ขาดความเชื่อ” และที่สำคัญ “ พวกเขาขี้บ่น”

       และต่อมาที่น่าตกใจมากๆ คือ  เขาจะตั้ง“ผู้นำคนใหม่” มาแทนคนเก่าโดยพละการ เขาจะเลือกเอาคนที่

       เขาสามารถ จัดการได้ โน้มน้าวได้ หรือง่ายๆ คือ เป็นใครสักคนที่เขาจะคอนโทลได้ เขาจะเลือกคนนั้น มาอุปโหลกให้เป็น “ผู้นำคนใหม่ของเขา” เหมือนการสร้าง“วัวทองคำ” ไม่มีผิด คือการสร้าง พระอีกองค์ มาเป็นตัวแทน เพื่อเขาจะนมัสการพระยาห์เวห์ได้ในแบบที่เขาสามารถเลือกเองได้ตามใจ พวกเขา  “รอไม่เป็น”

       และแน่นอนครับ ผู้นำคนใหม่ที่พวกเขาแต่งตั้งขึ้นเองนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อ พาพวกเขากลับไปอียิปต์ครับ ไปในที่ที่พวกจากมา ไปในที่ที่พระยาห์เวห์นำเขาออกมา ไปในความสะดวกสะบายเดิมๆ ความเคยชินเดิมๆ ไปในที่ที่พวกเขาจะสามารถ ทำอะไรได้ตามใจตัวเองโดยไม่มีใคร มาคอยขัดขวาง คอยเตือน คอยบอกว่า สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี หรือ ที่ที่ไม่มีใครมาบอกให้เขารอคอย เพราะไม่ว่าอะไรก็ตามที่เขาอยากได้ อยากทำ เขาสามารถทำมันได้เลยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากใคร แม้แท้จริงพวกเขาตกอยู่ในสภาพ “ทาส” พวกเขาก็มองไม่ออก

       คนที่น่าสงสารมากๆคือ ผู้นำคนใหม่ที่พวกเขาแต่งตั้งขึ้นอ่ะครับ คนคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการอธรรม กำลังถูกใช้เป็นโล่กำบังให้คนอีกคนในการทำชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์

       สิ่งที่น่าสนใจมากๆคือเรื่องนี้ครับ เพราะ ในบางสถานการณ์เราเองอาจตกอยู่ในสถานะนี้โดยไม่รู้ตัว บางครั้งมีบางคนมาหาเราและทำทีน่าสงสารโดนผู้นำทำร้าย หรือโดนคนนั้นคนนี้เอาเปรียบทำร้าย และสุดท้ายมาขอให้เราช่วยเขา หนุนใจเขา มาหาเราจนพัฒนาเป็นกลุ่มเป็นก้อนใหม่ขึ้นมา และสุดท้ายพัฒนาเป็นผู้นำคนใหม่ รู้ตัวอีกทีถอยลำบากแล้วครับ ผมถึงบอกว่า คนนี้แหละคือคนที่น่าสงสารที่สุด โดนหลอก ด้วยความน่าสงสารให้ทำดี แต่เป็นการทำดีเพื่อปกป้องคนผิด ในวิถีชุมชนแบบ อามิช หรือ แบบคุมราน จะไม่มีสิ่งนี้อยู่เลย คือ ใครก็ตามที่ต่อต้านผู้นำเพราะทำบาปหรือทำสิ่งที่เป็นบาปและไม่กลับใจ คนในชุมชนจะไม่คบหาสมาคมกับคนคนนั้นเลย ไม่คบหาเลยน่ะครับ ทำไมหน่ะเหรอ  ก็เพราะหากเรายังคบหากับเขาแม้เขาไม่ได้มีปัญหากับเราก็จริงแต่นี้จะ “ไม่เป็น” การทำให้คนคนนั้นเดินไปสู่การกลับใจ ครับ เขาจะไม่มีเวลาสำนึกในเส้นทางที่ผิดพลาดเลย แต่จะเข้าในว่าตัวเองถูกทำร้ายมากกว่า และในที่สุดจะกลายเป็นความแตกแยกตามมา เหมือนในพระคำข้างต้นเลยครับ สุดท้ายก็พากันกลับอียิปต์ แทนที่จะได้กลับใจซึ่งแน่นอนถ้าเขากลับใจ ชุมชนต้อนรับเขาเสมอ

       สิ่งที่น่าสนใจตามมาคือ วิธีการตอบสนองของโมเสส อาโรน(ผู้มีประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างดี ครั้งเมื่อมีเหตุการณ์ “วัวทองคำ ” ) โยชูวา และ คาเลบ พวกเขาทั้งสี่ เลือก ฉีกเสื้อของตนและกราบทูลพระยาห์เวห์ และหันกลับมา เตือนสติ ประชาชนที่ต่อต้านพวกเขา โมเสสหนุนใจพวกเขาให้มีความเชื่อ ในสิ่งที่แม้ดูเป็นไปไม่ได้ แต่ให้เชื่อว่าพระยาห์เวห์จะพาเราทำให้สิ่งที่ยากได้สำเร็จ ด้วยการ “รอคอยและทำตามวิธีของพระองค์” ที่ผมจะพูดถึงคือ โยชูวาและคาเลบ ที่เขาเลือกที่จะยืนข้างผู้นำที่ยาห์เวห์เลือกและเลือกฉีกเสื้อเหมือนกันเลือกซบหน้าลงถึงดิน เหมือนโมเสสและอาโรน ทั้งๆที่ พวกเขาไม่ได้โดนกล่าวหาด้วยเลย พวกเขาจะอยู่เงียบๆเนียนๆก็ไม่มีใครว่าอะไรสักหน่อย ไม่ใช่เรื่องของเขา เขาไม่อยากมีปัญหากับใครหนิ อยู่เงียบๆก็ได้ อย่าทะเลาะกันเลย อะไรทำนองนี้ แต่เราก็จะเห็นได้จากการบันทึกในท่อนนี้ไว้ว่า สองคนนี้กลับเลือกจากเคียงบาเคียงไหล่กับผู้นำของเขาโดยการฉีกเสื้อผ้าของตนและสบหน้าลงถึงดินร่วมกับโมเสส ภาพนี้งดงามมากๆ ครับ เราหาเพื่อนร่วมทางอย่างนี้ได้ไม่บ่อยนัก และนี้คือ การเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด ครับ

       เราได้สังเกตุมั้ยครับ ว่าคนอิสราเอล ที่อยู่ๆเกิดลุกหือขึ้นมาต่อต้านโมเสส นั้นมีสาเหตุมาจากอะไร ?

       ให้เราอ่านพระคำในบทก่อนหน้าดูน่ะครับ

“เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายไปถึงแผ่นดินซึ่งท่านส่งเราไปนั้น ที่นั่นมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์จริง และนี่เป็นผลไม้ของแผ่นดินนั้น แต่ว่าคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นมีกำลังมาก เมืองของพวกเขาก็มีกำแพงป้องกันและใหญ่โตมาก นอกจากนั้นเรายังเห็นลูกหลานคนอานาคที่นั่นด้วย คนอามาเลขอาศัยในดินแดนทางทิศใต้ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเลและตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน” แต่คาเลบได้ให้ประชาชนเงียบต่อหน้าโมเสสแล้วกล่าวว่า “ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดแผ่นดินนั้น เพราะเราจะชนะแน่นอน” แต่คนทั้งหลายที่เข้าไปสอดแนมด้วยกล่าวว่า “เราไม่สามารถเข้าไปและชนะคนเหล่านั้นได้ เพราะพวกเขามีกำลังมากกว่าเรา” พวกเขายังกล่าวร้ายเรื่องแผ่นดินที่ได้ไปสอดแนมมาโดยเล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า “แผ่นดินที่เราไปสอดแนมดูมาตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองทั้งหมดที่เราเห็นล้วนเป็นคนรูปร่างใหญ่โต ที่นั่นเราเห็นคนเนฟิล(คนอานาคนั้นมาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตน และเราก็เป็นเช่นนั้นในสายตาของพวกเขา””
กันดารวิถี 13:27-33 THSV11

       ใช่แล้วครับ พวกเขาแตกตื่น เพราะการรายงานของผู้สอดเนม นั้นเอง และผู้สอดเนมที่เห็นสิ่งเดียวกันแต่กลับออกมารายงานไม่เหมือนกัน ได้อย่างไร ? และ ทำไมประชาชาเลือก“เชื่อ” คนที่รายงานใน“มุมลบ” มากกว่าคนที่รายงานให้มุมมองของผู้เชื่อที่แท้จริง ?  น่าแปลกจริงๆครับ แต่จริงๆก็ไม่แปลกหรอกครับ คนส่วนใหญ่เลือกเชื่อข้อมูลลบๆมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะเชื่อคนหมู่มาก มากกว่าความจริงที่เป็นคนส่วนน้อย อีกด้วย เหมือนในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยข้อมูล ลบๆ จากโลก โซเชียลมีเดีย ช่าง!! น่าเสียดาย แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่าข้อมูลที่พวกเขารายงานคือ  คำพูดของพระยาห์เวห์ครับ มาดูกันว่าพระองค์ ตรัสอะไรในเหตุการณ์นี้

“แต่ชุมนุมชนทั้งหมดนั้นพูดว่าให้เอาหินขว้างเขาทั้งสอง ขณะนั้นพระสิริของพระยาห์เวห์ปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าคนอิสราเอลทั้งหมด และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ชนชาตินี้จะสบประมาทเรานานเท่าไร? พวกเขาจะไม่เชื่อเรานานแค่ไหน? แม้เราได้ทำการอัศจรรย์ทุกอย่างท่ามกลางพวกเขามาแล้ว”
กันดารวิถี 14:10-11 THSV11

       โอ้ววว นี้คือสิ่งที่พวกเขาไม่ทันระวัง เมื่อพวกเขาเลือกเชื่อในแนวคิดลบๆ ที่ไม่เป็นการถวายเกียรติพระยาห์เวห์เอโลฮีมของพวกเขาเลย และยังเป็นการลบหลู่พระเกียรติของพระองค์ด้วยซ้ำไป จริงครับที่การรายงานไม่มีสิ่งใดโกหกแต่สิ่งที่ผิดพลาดคือ แนวคิดที่มีต่อข้อมูลต่างหากครับ นั้นคืออะไรครับ เราจะเห็นว่า ในการรายงานนั้น มีทั้งเรื่องดี และไม่ดี จริงมั้ยครับ ? เรื่องดีๆใครก็ชอบ ว้าว ดินแดนที่ว่า มีน้ำนมน้ำผึ่งบริบูรณ์ ถ้าเราได้เข้าไปครบครอง มันช่างดีอะไรเช่นนี้ ว้าวๆๆ ขอบคุณพระยาห์เวห์ พระองค์ อวยพรเราแล้วว  ฮาเลลูยา แต่พอต้องแลกกับ การที่ต้องรับมือกับ คนอามาเลข คนอานาค และชนชาติต่างๆ ซึ่งต้องพึ่งพาพระยาห์เวห์เท่านั้น พวกเขากลับถอดใจ สิ่งนี้แหละครับ ที่พระยาห์เวห์ไม่พอพระทัย คือ เขายอมแพ้ต่อปัญหา นั้นแสดงถึงความไม่เชื่อ พระยาห์เวห์ทรงชี้ให้เห็นว่า “ ดูสิพระองค์เดินทางกับคนอิสราเอลมาตลอดทางด้วยอัศจรรย์ทั้งสิ้น พระองค์ทรงช่วยมาหลายต่อหลายครั้งแบบอัศจรรย์พอเดินทางมาถึงปัญหานี้ กลับลืมทุกสิ่งที่พระองค์ทำ หรือ ทำเหมือนกับว่า พระยาห์เวห์ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเขาเลย เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย ถึงขนาดมีคนไปเตือนเขาว่า “ อย่าบ่นต่อว่าพระองค์ อย่าลืมสิ่งที่พระองค์ทำ แต่ให้มั่นใจว่าพระยาห์เวห์จะพาเราผ่านไปได้อีกแน่นอน แต่ดูสิครับ  คนเหล่านี้ กลับโกรธจนถึงขั้นจะฆ่าโมเสสและอาโรนให้ได้เลยทีเดียว โอ้วววว แบบนี้มันเกินไปมากๆเลยครับจริงมั้ย ?

       และนั้นนำการลงโทษมาสู่พวกเขาแม้โมเสสจะทูลอ้อนวอนต่อพระยาห์เวห์พระองค์ยังแค่ทรงเปลี่ยนใจจากการทำลายพวกเขาให้หมด มาเป็นการทำโทษให้พวกเดินวนในถิ่นทุรกันดาร ถึง 40 ปี จนกว่าคนเหล่านี้จะตายในถิ่นทุรกันดารให้หมด แล้วค่อยเป็น คนรุ่นต่อไป เข้าไปแทน

“ส่วนเจ้าทั้งหลาย ศพของเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ ลูกๆ ของเจ้าทั้งหลายจะเป็นผู้เลี้ยงแกะอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เขาทั้งหลายจะรับผลของการนอกใจของพวกเจ้า จนกว่าจำนวนซากศพของเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้จะครบถ้วน ตามจำนวนวันที่พวกเจ้าเข้าไปสอดแนมแผ่นดินนั้น คือสี่สิบวัน วันหนึ่งจะเท่ากับปีหนึ่ง เจ้าทั้งหลายจะรับโทษบาปของเจ้าสี่สิบปี เจ้าทั้งหลายจะรู้ซึ้งถึงความไม่พอใจของเรา เราคือยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาแล้ว เราจะทำเช่นนี้กับชุมนุมชนชั่วร้ายทั้งหมดนี้ ซึ่งร่วมกันต่อสู้เรา พวกเขาจะถึงวาระสุดท้ายในถิ่นทุรกันดารและจะตายอยู่ที่นั่น””
กันดารวิถี 14:32-35 THSV11

       ส่วนคนที่ ไปสอดเนมและรายงานถึงดอนแดนพันธสัญญาด้วยความกลัว เป็นต้นเหตุให้คนอิสราเอลแตกตื่น พวกเขาถูกพระยาห์เวห์ให้เสียชีวิตด้วยโรคต่างๆ

“แล้วพวกที่โมเสสส่งไปสอดแนมแผ่นดิน ผู้ที่กลับมากล่าวร้ายแผ่นดินนั้น ซึ่งทำให้ชุมนุมชนบ่นว่าพระองค์ พวกที่มาและกล่าวร้ายแผ่นดินนั้นต่างตายด้วยโรคภัยเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เหลือเพียงโยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากคนที่ไปสอดแนมแผ่นดินที่ยังมีชีวิตอยู่”
กันดารวิถี 14:36-38 THSV11

       นี้คือ ผลของคนชอบบ่น ครับ คนที่มองทุกอย่างด้วยมุมมองของการเป็นเหยื่อ ชื่นชมในการเสพติดข้อมูลลบๆ และไม่เคยจะเคารพผู้ที่พระยาห์เวห์เลือกสรรค์เอาไว้ สุดท้ายก็ตกในสถานะที่ เรียกกว่า “ กบฏ ”

       วันนี้ผมขอจบไว้เท่านี้ก่อนครับ แล้ววันพรุ่งนี้มีเรื่องน่าสนใจต่อจากเรื่องนี้ไว้มาเล่าให้ฟังเพิ่มครับ

ชาโลม

เอลเดอร์ โป้ง

 

Post Info

Latest Posts

Share!!

ขออภัยในความผิดพลาด ทางเราได้ทำการแก้ไขการจัดเรียนหน้าในหนังสือ The gates of hell shall not prevail against her ให้ถูกต้องแล้ว

X