
Torah Today ตอน “ ความล้ำลึกที่ชื่อว่า การเชื่อฟัง ”
(TH) สวัสดีครับทุกคนเมื่อวานเราพูดถึง เรื่อง อิสราเอลที่ชอบ “บ่น” เพราะเขาเคยชินกับการใช้ชีวิตด้วยแนวคิดของผู้เป็น“เหยื่อ” พวกเขาเลยพลาดในการบ่นต่อว่าโมเสสและในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาต่อว่า พระยาห์เวห์ พวกเขาโกรธจนไร้สติ ถึงขั้นอยากฆ่าโมเสสและอาโรนให้ตาย ต้องโกรธมากจริงๆน่ะครับ อะไรทำให้เขาโกรธครับ ใช่แล้ว พวกเชื่อการรายงานของผู้สอดเนม 10 คน ที่ใช้แนวคิดแบบเหยื่อดำเนินชีวิตเหมือนกัน พวกเขาแตกตื่นจนโกรธจัด ถึงขั้นอยากจะฆ่าคนได้เลยเพียงเพราะเชื่อคนแนวคิดลบๆ มันสะท้อนให้เราเห็นว่า จะเชื่อใครก็ต้องดูให้ดีจริงๆน่ะครับ รู้จักเขาด้วยผลของเขา ยาห์ชัว สอนเราเอาไว้ เพราะผลสุดท้ายพระยาห์เวห์โกรธคนเหล่านั้นมากๆ จนเป็นสาเหตุให้พวกเขาไม่มีสิทธิ์เขาไปในดินแดนพันธสัญญาและที่จริงถ้าโมเสสไม่ข้อร้องพระยาห์เวห์เอาไว้พวกจะต้องโดนประหารตอนนั้นเลย แต่ด้วยเห็นแกโมเสสพวกเขาจึงได้รับพระเมตตาให้มีชีวิตต่อ แต่ต้องเดินวนในถิ่นทุรกันดาร ถึง 40 ปี แต่สำหรับผู้สอดเนม 10 ที่กลับมารายงานในมุมลบๆและทำลายความหวังของชนชาติอิสราเอล พวกเขาต้องจบชีวิตลงด้วยโรคภัยจากพระยาห์เวห์ตอนนั้นเลย
ทีนี้วันนี้เรากันต่อ ว่าอิสราเอล กลุ่มที่เลือกใช้ชีวิตด้วยแนวคิดแบบเหยื่อ พวกเขาเพิ่งได้รับพระเมตตาในการไว้ชีวิตจากพระยาห์เวห์แต่ยังคงไม่สงบลงง่ายๆ พวกเขาก่อเรื่องอะไรอีกไปดูพระคำกันครับ
“เมื่อโมเสสบอกเรื่องนี้ให้คนอิสราเอลทั้งหมดฟัง ประชาชนก็ร้องไห้โศกเศร้าอย่างยิ่ง และเขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าแล้วขึ้นไปที่ยอดเขา กล่าวว่า “ดูสิ เรามาอยู่ที่นี่แล้ว เราจะเข้าไปยังที่ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงสัญญาไว้ เพราะเราได้ทำผิดแล้ว” แต่โมเสสกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านยังขัดขืนพระดำรัสของพระยาห์เวห์? การนี้จะไม่สำเร็จ อย่าขึ้นไปเลย เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน อย่าให้ท่านทั้งหลายต้องล้มตายต่อหน้าศัตรูเลย เพราะคนอามาเลขและคนคานาอันอยู่ข้างหน้าท่าน ท่านทั้งหลายจะล้มลงด้วยคมดาบ เพราะท่านได้หันกลับจากการติดตามพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จะไม่สถิตกับท่านทั้งหลาย” แต่เขาทั้งหลายยังบังอาจขึ้นไปที่ยอดเขา แม้ว่าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และโมเสสเองไม่ได้ออกจากค่าย แล้วคนอามาเลขและคนคานาอันที่อยู่ในเขตเทือกเขาลงมาโจมตีและขับไล่พวกเขาไปถึงตำบลโฮรมาห์”
กันดารวิถี 14:39-45 THSV11
โอ้ยยๆๆ ปวดหัวจริงๆ เค้าไม่เพียงแต่ชอบบ่นแต่พวกเขายังไม่กลับใจจากการกระทำผิดพลาดของตัวเองลองดูสิครับพวกเขาเพิ่งได้รับการพิพากษาจากพระยาห์เวห์ให้ได้มีชีวิตต่อแต่ต้องวนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี แต่ในเช้าวันต่อมาพวกเขากลับฝ่าฝืนคำสั่งของพระยาห์เวห์ ด้วยเหตุผลที่บอกว่า“ไหนๆพวกเราก็ทำบาปแล้วงั้นให้เราไปทำตามที่พระยาห์เวห์สั่งไว้เลยดีกว่า” ฟังดูเหมือนดีนะครับแต่ลึกๆแล้วพวกเขาไม่เข้าใจอะไรเอาซะเลยพวกเขาไม่เข้าใจว่า พวกเขาพลาดการเชื่อฟังไปและพวกเขาจำเป็นจะต้องเข้าใจสิ่งนี้ก่อน การเชื่อฟังจะมีความหมายก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เชื่อฟังก่อนที่จะได้รับการตัดสินเพราะนั่นถึงจะหมายถึงว่าเขาได้แสดงการเชื่อฟังออกมาก่อนที่พวกเขาจะต้องพบกับความยากลำบากในชีวิตหรือคำตัดสินนั่นเองมันคล้ายๆกับว่าเมื่อพวกเขาถูกตัดสิน แล้วเค้าลุกไปทำมันก็ไม่ต่างอะไรกับ“การบังคับให้ไปทำ” ซึ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระยาห์เวห์ต้องการ อย่าลืมน่ะครับ โทราห์เป็นเรื่องของ “จิตวิญญาณ” หรือ พูดให้ง่ายเข้าก็คือ เป็นเรื่อง “ จิตใจภายในนั้นเอง ”
“เรารู้ว่าธรรมบัญญัตินั้นเป็นเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นเนื้อหนังถูกขายเป็นทาสให้อยู่ใต้บาป”
โรม 7:14 THSV11
ดังนั้นนี้คือ ความล้ำลึกของคำว่า “ เชื่อฟัง ” คือ พวกเขาต้องแสดงการเชื่อฟังก่อนที่จะได้เห็นการพิพากษา พูดให้ง่ายเขาก็คือ ถ้าเชื่อฟัง ให้มีมูลค่า เราต้องเชื่อฟังตั้งแต่ ยังไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น ยกตัวอย่าง เหมือนเรารูเว่าพระยาห์เวห์แนะนำให้เราออกจากบาบิโลน และการออกจากบาบิโลน คือ การออกจากระบบซาตาน ในปัจจุบัน ซึ่งใช่แล้วครับ ถ้าจะเรียกว่า “ เชื่อฟัง ” คุณต้องออกมาก่อนที่ระบบจะล่มครับ แต่ถ้าระบบล่มไปแล้ว คุณค่อยออก นั้นไม่ได้เรียกว่าการเชื่อฟัง นั้นคือ ภาวะจำยอม ใครไม่หนีก็แปลกมากๆแล้วจริงมั้ยครับ และนั้นสะท้อนจิตวิญญาณแห่งการไม่เชื่อฟังของพวกเขา และนั้นหมายถึง พวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องการเชื่อฟังเลย และมันจำเป็นมากๆที่จะต้อง เข้าใจเรื่องการเชื่อฟังที่แท้จริงเสียก่อน นี้คือประการแรก
ประการที่สอง เราจะสังเกตุว่า โมเสสได้ห้ามพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคง ”เมิน“ ต่อความหวังดีของผู้นำที่เพิ่งช่วยชีวิตของพวกเขาไว้ไปหมาดๆ พวกเขายังคงมุ่งมั่นที่จะดื้อดึง พวกเขามองเห็นแต่คำสั่งของพระยาห์เวห์จึงเลือกเดินเข้าไปในดินแดนพันธสัญญาตามที่พระยาห์เวห์ตั้งพระทัยไว้ตั้งแต่แรก แต่ในปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เพราะพวกเขาลืมไปอีกแล้วว่า พระยาห์เวห์ได้ประทานตัดสินใหม่แล้วคือ ให้พวกเขาเดินวนในถิ่นทุรกันดาร อีก 40 ปี นั้นหมายความว่า แม้พวกเขาเคยได้รับอนุญาตให้แดนพันธสัญญาก็จริงแต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วพระยาห์เวห์ไม่อนุญาตให้เขาแล้วจนกว่าจะครบ 40 ปี แต่พวกเขากลับฝ่าฝืนคำสั่งของพระยาห์เวห์ต่ออีก โอ้วววว อะไรมันให้เขาตาบอดสนิทได้ขนาดนี้ และการห้ามปรามของโมเสส เพื่อปกป้องเขาก็ไม่มีความหมาย
แท้จริงพวกเขาได้รับโอกาสในการสำแดง การเชื่อฟัง ครั้งใหม่ แต่น่าเสียดายพวกเขาได้โยนมันทิ้งไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง โอ้ยยยย ปวดหมองๆ พวกเขามองแต่เรื่องภายนอก มองเห็นแต่สิ่งที่เป็นเปลือกนอก พวกเขาไม่ให้ความสำคัญต่อจิตของพวกเขา ยาห์เวห์จึงเรียกหัวใจแบบนี้ว่า “ใจหิน” พวกเขาใจแข็งมากๆ พวกเขาพลาดโอกาสในการแก้ตัวไปอย่างน่าเสียดาย และกลับทำสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าเดิม
ประการสุดท้าย คือการเข้าไปเผชิญหน้ากับพวกอามาเลข ชาวอานาค ด้วยตัวเอง คำถามที่น่าสนในคือ พวกเขาเอาความมั่นใจมาจากไหน เพราะที่ผ่านมา พวกเขาชนะสงครามด้วยการช่วยเหลือของพระยาห์เวห์ พวกเขาไปพร้อมหีบพันธสัญญาทุกครั้ง แต่ครั้งนี้บันทึกบอกเราว่า พวกเขาไปโดยปราศจากทุกอย่าง ไม่มีหีบพันธสัญญา ไม่มีโมเสส ไม่มีการทรงสถิต ยกเว้นตัวเอง โอ้ยยย กล้าหาญมากๆ กล้าหาญจริงๆ แหม่แต่สุดท้ายพวกเขาก็โดยตีแตกผ่ายกลับมา น่าสมเพชมากๆครับ
แต่ลักษณะอาการคล้ายกันนี้เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัยครับ แม้ในยุคของเราก็ยังคงมีลักษณะจิตวิญญาญแห่ง“ใจหิน”แบบนี้ให้ได้เห็นเสมอๆ พวกเขารักการเอาชนะ เอาชนะจนในที่สุดต้องแพ้ผ่าย ยิ่งรั่นยิ่งเละ เขานึกในใจว่าตัวเองเป็นนักรบของพระเจ้า แต่พระเจ้าของเขาชื่อว่า “ความพยอง” ซึ่งนั้นไม่ใช่พระยาห์เวห์ พวกเขาขาดสติอย่างมาก ดำรงชีวิตด้วยความโกรธ และสุดท้ายพวกเขาก็แอบไปข่มขืน แอบอับอาย เลียแผลตัวเองคนเดียว แล้วก็โทษทุกอย่าง กลยุทย์เดียวที่มีคือการเรียกร้องให้คนที่ไม่ทันระวังตัวเห็นใจ และติดกับดัก ร่วมในขบวนการกู้ชากของตัวเอง และไม่เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อความผิดตัวเองเลย น่าสงสารจริงๆ ผู้นำหรือพี่น้องจะห่วงเขาแค่ไหน เขาก็มองไม่เห็น เขามองเห็นแต่การทำร้าย ไม่ว่าใครจะดีแค่ไหน สิ่งเดียวที่เขามองเห็นและยอมรับได้ คือ “การตามใจ”เท่านั้น และแน่นอน คนที่รักเขาจริงๆจะไม่ตามใจเขาในสิ่งที่ผิดแต่จะช่วยให้เขาค้นพบวิธีใหม่ๆในการกู้ตัวเองออกมาจากสภาพที่น่าสมเพชนั้นและสิ่งที่พวกเขาควรทำมาก คือ “กลับใจจากความหยิ่งผยองส่วนตัวของตัวเอง” เริ่มต้นด้วยการหยุดใช้แนวคิดแบบ “เหยื่อ ” และเปิดโอกาสให้ผู้คนรอบข้างได้ช่วยเหลือและที่สำคัญพวกเขาควรใช้ “ตาใจ ฝ่ายวิญญาณ” มองปัญหาที่แท้จริงให้ออกและรับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ เสียที เพื่อรับเอา“ใจเนื้อ”กลับมาแทนใจที่แข็งกระด้าง
ชาโลม
เอลเดอร์ โป้ง
Congregation of YHWH, Thailand ชุมชนของพระยาห์เวห์ แห่งประเทศไทย
ขออภัยในความผิดพลาด ทางเราได้ทำการแก้ไขการจัดเรียนหน้าในหนังสือ The gates of hell shall not prevail against her ให้ถูกต้องแล้ว