
The Faith EP 4 “ ความเชื่อ มาจากการ ได้ยิน ”
สวัสดีครับวันนี้เรามาต่อกันเรื่องความเชื่อกันน่ะครับ 3 EP ที่แล้วอธิบายว่า บางทีเราอาจจะทำบางสิ่งไปโดยไม่มีความเชื่อ คือ ทำไปเพราะกลัว ทำไปเพราะเสียไม่ได้ ทำไปเพราะสังคมทำเราก็ทำ ต่อมาคือ ถ้าเรามีความเชื่อ เราจะลงมือทำสิ่งนั้นๆ จนสำเร็จ และต่อมาคือ ความเชื่อที่เราจะลงมือทำนั้น มาจากความแน่ใจมากๆ ของเรานั้นเอง
ทีนี้เรามาดูกันคับว่า ถ้าเราพบว่าเราอาจจะยังมีความเชื่อไม่มากพอที่จะ “ลงมือทำ” เราจะต้องทำอย่างไร ?
“ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์”
โรม 10:17 THSV11
ใช่แล้วความถ้าเราไม่มีความเชื่อหรือความเชื่อน้อยเราก็แค่พาตัวเองไปได้ยินข้อมูลที่สามารถเพิ่มความเชื่อเราได้ เช่น คำเทศนา ( ที่เป็นคำสอนที่ถูกต้องและเป็นความจริง ) ฟังคำพยาน ทดลองเพื่อหาข้อสรุป นั้นเองครับ
มาดูกันทีล่ะหัวข้อ
1 ฟังคำเทศนา คือ การไปฟังคำเทศนาในทุกๆวันสะบาโต หรือจาก คลิปที่เอลเดอร์ ได้บันทึกเก็บเอาไว้ให้ เรื่องนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่แท้จริงแล้ว หากเราไม่ระวังในเรื่องการเลือกคำเทศนาที่ถูกต้องจริงๆมาฟังก็อาจทำให้เรา รับเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาได้ เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมากๆ เอลเดอร์ ดอน พูด เสมอ ว่าเราควรระวังในการฟังคำเทศนาในอินเตอร์เนต เพราะหากอาจารย์ผู้เทศนาไม่มีความเชื่อที่ถูกต้อง เราก็อาจจะได้รับข้อมูลที่บิดเบียวมาได้อาจารย์ ที่ไม่ได้รักษาสะบาโต จะสามารถเข้าใจหลักการที่ถูกต้องของพระคัมภีร์ได้อย่างไร ? คุณเห็นด้วยมั้ยครับ หรือคุณคิดว่า ไม่จำเป็น เราฟังการแบ่งปันจากใครก็ได้ เขาจะมีชีวิตตรงตามพระคัมภีร์ หรือไม่ตรงก็ได้ เขาจะเชื่อตรงพระคัมภีร์ หรือ ไม่ตรงบ้างก็ได้ ? คุณคิดอย่างไร ? และนี้ไม่ใช่ประเด็นที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นในสมัยแรก ๆแล้ว มาดูพระคำกัน
“ข้าพเจ้าขอเตือนท่านอย่างจริงจังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยาห์ชัวพระเมสิยาห์ ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย และขอเตือนโดยอ้างถึงการมาปรากฏของพระองค์และราชอาณาจักรของพระองค์ว่า จงประกาศพระวจนะ จงทำอย่างขะมักเขม้นทั้งในขณะที่คนสนใจและไม่สนใจ จงชักชวน ตักเตือน และหนุนใจ ด้วยความอดทนและด้วยการสั่งสอนอย่างเต็มที่ เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน พวกเขาจะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์”
2 ทิโมธี 4:1-5 THSV11
ยาห์เวห์นำเราไปอยู่ในชุมชนที่พระองค์เลือกไว้ให้ เราแต่ล่ะคนมีผู้เลี้ยงเป็นของตัวเองโดยการนำของพระยาห์เวห์ และนั้นเพียงพอต่อความต้องการของเราแล้วในแต่ล่ะช่วงการเรียนรู้และเติบโตในความเชื่อของเรา เราไม่จำเป็นต้องกระโดดไปฟัง อาจารย์ คนนั้นทีคนนี้ทีให้เสี่ยงอันตรายเลยครับ เพราะแนวคำสอนของแต่ล่ะทีเอาจริงๆ ก็แตกต่างกันมากๆ เช่น บางที เชื่อเรื่องวันสะบาโตวันเสาร์ บางที่วันอาทิตย์ บางทีสลับไปสลับมาตามดวงจันทร์ บางที่เชื่อว่า เป็นวันไหนก็ได้ เป็นต้น แล้วความเชื่อที่แตกต่างกันขนาดนี้ เราจะเอามารวมไว้ในเราคนเดียวได้อย่างไรกันครับ ? เป็นไปไม่ได้จริงมั้ยครับ ดังนั้นจำเป็นมากๆ ที่ต้องระวังในการฟัง ผมแนะนำให้ลองเข้าไปฟังคำเทศนาของเอลเดอร์ ดอน เรื่อง “ Are you thirsty ?” ตามลิงค์นี้ครับ Are You Thirsty
การฟังความจริงจะช่วยเพิ่มความเชื่อของเราครับ เพราะสาเหตุที่เรายังไม่ไปถึงจุดแน่ใจ นั้นเพราะเรายังมีคำถามอยู่ในใจ ในประเด็นต่างๆ และใช่แล้วครับถ้าคุณได้คำตอบที่ถูกต้อง คำถามต่างๆก็จะหมดไป และนำไปสู่ความแน่ใจ ในที่สุด และนั้นคือจุดเริ่มต้นที่คุณจะเชื่อ ได้จริงๆ เสียที
2 คำพยาน คำพยานคือเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ครับ หลายครั้งเราฟังคำสอนแล้วไม่เข้าใจ แต่กลับเข้าใจผ่านคำพยาน หรือตัวอย่างชีวิตของใครบางคน ดังนั้นการได้ฟังการขอบคุณพระยาห์เวห์ในทึกๆสะบาโตก็จะช่วยเำิ่มความเชื่อในแต่ล่ะเรื่องให้กับเราได้ครับ หรือ อาจจะเป็นคำพยานอื่นๆ ตามโอกาสต่างๆก็ได้
“พวกเขาชนะมารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และด้วยคำพยานของพวกเขาเอง และพวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย”
วิวรณ์ 12:11 THSV11
คำพยานทรงพลังจนสามาาถทำให้ผู้เชื่อเดินทางไปถึงจุดที่มีความเชื่อมากพอที่จะสละชีวิตของตัวเองเพื่ออาณาจักรของพระยาห์เวห์ได้เลยครับ
3 การทดลองด้วยตัวเอง วิธีนี้ คือ วิธีที่หลายคนถนัดน่ะครับ แต่ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ดีมากๆวิธีหนึ่ง นั้นคือ การเรียนรู้จากความผิดพลาด หรือการลองทำ เพื่อให้เห็นความจริงด้วยตัวเอง บางครั้งเราจะไม่เชื่อคนจนกว่าจะได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง หรือได้ลองเจอประสบการณ์ต่างๆ ด้วยตัวเราเองเพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการนำไปสู่ความแน่ใจต่างๆที่จะกลายมาเป็นความเชื่อในที่สุดนั้นเองครับ
“โธมัสที่เขาเรียกกันว่าดิดุโมสซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อยาห์ชัวเสด็จมา สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย” เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่ยาห์ชัวเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” ยาห์ชัวตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข””
ยอห์น 20:24-29 THSV11
สังเกตุประโยคสุดท้ายน่ะครับ “ คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข ” นี้คือความเชื่อที่สมบูรณ์มากๆครับ เพราะการที่เชื่อและแน่ใจโดยที่ยังไม่ต้องเห็นก็ดีกว่า ต้องขอเห็นด้วยตาก่อน บางทีเราขอจะเห็นก่อนสัมผัสก่อน อาจจะไม่เรียกว่าความเชื่อก็ได้น่ะครับ
4 จากการศึกษาพระวจนะ การอ่านพระคัมภีร์ นั้นเอง ครับ
เอาหล่ะ นี้เป็น 4 วิธีที่จะช่วยให้เราเพิ่มความแน่ใจ จนไปถึงความเชื่อได้ดีมากๆ คับ สำหรับใครที่พบว่าตัวเองยังไม่มีความเชื่อเรื่องไหน ก็ลองทำตาม 3 วิธีนี้ดูน่ะครับ
ชาโลม
เอลเดอร์ โป้ง
Congregation of YHWH, Thailand ชุมชนของพระยาห์เวห์ แห่งประเทศไทย
ขออภัยในความผิดพลาด ทางเราได้ทำการแก้ไขการจัดเรียนหน้าในหนังสือ The gates of hell shall not prevail against her ให้ถูกต้องแล้ว