The Faith EP 02, 2025

The Faith  EP 2   “ Faith and Action “

(TH) สวัสดีครับวันนี้เราสู่ EP ที่ 2 กันน่ะครับในเรื่องของ”ความเชื่อ”น่ะครับ อย่างที่บอกไปในครั้งที่แล้วว่าบางครั้งเราอาจจะเข้าใจไปเองว่าเราเชื่อแต่จริงๆแล้วเราอาจไม่มีความเชื่อเลยก็ได้ และสิ่งที่ยากที่สุดคือ การยอมรับให้ได้ว่าเราอาจจะยังไม่มีความเชื่อในเรื่องนั้นๆ จริงๆครับ แล้วที่เราจะรู้ได้อย่างไรครับว่า เรามีความเชื่อหรือแค่เข้าใจ

       เช่น เราเข้าใจแล้วว่า “ต้องรักษาสะบาโต” แต่เราอาจจะยังไม่มีความเชื่อว่า “ต้องรักษาสะบาโตให้ดี “ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรครับว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่า “เราเริ่มมีความเชื่อแล้ว“ มาดูพระวจนะข้อนี้กันดูก่อนน่ะครับ

‘พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ? ถ้าพี่น้องชายหญิงคนไหนขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน แล้วมีใครในพวกท่านกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “ขอให้กลับไปอย่างเป็นสุข ให้อบอุ่น และอิ่มหนำสำราญเถิด” แต่ไม่ได้ให้สิ่งจำเป็นฝ่ายกายแก่พวกเขา จะมีประโยชน์อะไร? ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว แต่บางคนจะกล่าวว่า “ท่านมีความเชื่อและข้าพเจ้ามีการประพฤติ” จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความเชื่อของท่านโดยไม่มีการประพฤติซิ แล้วข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้าโดยการประพฤติ ท่านเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว นั่นก็ดี แม้พวกผีก็เชื่อและกลัวจนตัวสั่น คนโฉดเขลาเอ๋ย ท่านต้องการให้พิสูจน์ว่าความเชื่อที่ไม่มีการประพฤตินั้นไร้ผลหรือ? อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา ถวายอิสอัคบุตรของท่านบนแท่นบูชา จึงถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ? ท่านก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อนั้นทำงานควบคู่กับการประพฤติของเขา และความเชื่อก็สมบูรณ์โดยการประพฤตินั้น และพระคัมภีร์ก็สำเร็จตามที่กล่าวไว้ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าเขาชอบธรรม และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า” พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติ และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกัน ราหับหญิงโสเภณีก็ถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ? เมื่อนางได้ต้อนรับพวกผู้สอดแนม และส่งเขาทั้งหลายไปโดยทางอื่น กายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นตายแล้วอย่างไร ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วอย่างนั้น’
ยากอบ 2:14-26

       อย่างที่ผมบอกครับว่า สาเหตุที่เรายังทำบางอย่างไม่ได้ ก็เพราะเรายังไม่เชื่อ หรือ ยังไม่มีความเชื่อในเรื่องนั้นๆ นั้นเอง ใช่แล้วครับ การที่เราจะทราบได้ว่าเรามี “ความเชื่อ” ในเรื่องนั้นๆหรือไม่ ก็ดูได้จากการที่เราได้ “ลงมือหรือเริ่มทำสิ่งนั้นแล้วหรือไม่ ? “  และที่สำคัญมันจะต้องไม่ใช่การทำ เพราะเสียไม่ได้ หรือ เพราะกลัวโดนว่า หรือ เห็นเขาทำเราก็ทำไปกับเขา หรือ เพราะเขามีกฏให้ทำเราก็เลยทำ นั้นจึงส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ ที่เวลาเราอยู่คนเดียวเราก็เลยกลับมาทำสิ่งนั้นๆ อยู่ และส่วนใหญ่ อาการนี้จะเกิดขึ้นกับบาปหลายๆอย่างที่เรามั๊กจะทำก็ต่อเมื่อเราอยู่คนเดียวหรือที่ลับตาคนใช่มั้ยครับ

       แล้วถ้าจะเรียกว่า “เราเริ่มมีความเชื่อจะเป็นยังไง ? “  นั้นก็คือ เมื่อเราลงมือหรือเริ่มทำบางอย่างที่เรา “เชื่อ” อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และจะทำเหมือนเดิมทั้งในโอกาสที่มีคนเห็นและไม่เห็น และทราบมั้ยครับ มันมีแบบว่า เราเชื่อมาก เชื่อน้อยด้วยน่ะครับ  แต่จะเอาไว้พูดกันใน EP ต่อๆไป วันนี้เราจะอยู่ที่ประเด็นว่า “ เราเริ่มมีความเชื่อ” แล้วหรือยัง ? ถ้าเราเริ่มมีความเชื่อ เราจะเริ่มลงมือทำในสิ่งที่เราเชื่อครับแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นด้วย หรือ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครสนับสนุน หรือแม้แต่มีคนขัดขวางก็ตาม ถ้าเราเชื่อจริงๆ เราจะลงมือทำสิ่งนั้นๆไม่ว่า มันจะยากแค่ไหน ยาวนานเท่าไร เราก็ทำมันด้วย ความเชื่อ โดยความเชื่อจะค่อยๆสร้างความหวัง ที่จะไปสู่ความสำเร็จ และโดยความเชื่อและความหวังนี้เอง จึงทำให้เรารู้จักคำว่า “ รัก “ ใช่แล้วครับ เราจะเริ่มรักในสิ่งที่เรา ลงมือทำด้วยความเชื่ออย่างมีความหวังในที่สุด

‘และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้’
1 โครินธ์ 13:13

       มาดูตัวอย่างความเชื่อกันสักหน่อยครับ 
       บิดาแห่งความเชื่อ อับราฮัม

‘โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้ออกเดินทางไปยังที่ที่ท่านจะรับเป็นมรดก ท่านก็เชื่อฟังและเดินทางออกไปโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน โดยความเชื่อ ท่านได้อาศัยในแผ่นดินแห่งพระสัญญาเหมือนเป็นคนต่างด้าว โดยพักอยู่ในเต็นท์ร่วมกับอิสอัคและยาโคบผู้เป็นทายาทตามพระสัญญาเดียวกันนั้น ท่านเฝ้าคอยนครที่ตั้งอยู่บนรากฐานซึ่งพระเจ้าทรงเป็นสถาปนิกและทรงเป็นผู้สร้าง โดยความเชื่อ อับราฮัมได้รับพลังที่จะมีบุตร แม้ท่านชรามากแล้ว และนางซาราห์เองก็เป็นหมัน เพราะท่านถือว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นซื่อสัตย์ เหตุฉะนั้น จากชายคนเดียวซึ่งเป็นเสมือนคนตายแล้วนั้น ก็ทำให้มีผู้สืบเชื้อสายเกิดมามากมายดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายอันนับไม่ถ้วนที่ฝั่งทะเล คนเหล่านี้ทั้งหมดตายในขณะที่ยังมีความเชื่ออยู่ และยังไม่ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ทรงสัญญาไว้ แต่พวกเขาก็สังเกตเห็นแต่ไกลและรอรับด้วยใจยินดี และยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก เพราะคนที่พูดอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า พวกเขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้เป็นของตนเอง ถ้าพวกเขาคิดถึงบ้านเมืองที่จากมานั้น พวกเขาก็คงจะมีโอกาสกลับไปได้ แต่ความจริงพวกเขาปรารถนาบ้านเมืองที่ประเสริฐกว่านั้นคือเมืองสวรรค์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ได้ทรงละอายที่จะได้รับการเรียกว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขา เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับพวกเขาแล้ว โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมถูกลองใจ จึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และท่านผู้ได้รับพระสัญญา ก็พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรชายคนเดียวของท่าน คือบุตรคนที่มีพระดำรัสว่า “เขาจะเรียกเชื้อสายของท่านทางสายอิสอัค” ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถทำให้คนตายเป็นขึ้นมาได้ ฉะนั้นโดยอุปมาแล้ว ท่านได้รับบุตรคืนมา ‘
ฮีบรู 11:8-19

       โยเซฟ ผู้มีความเชื่อว่าพระยาห์เวห์จะพาเขาเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา

‘โยเซฟอาศัยอยู่ในอียิปต์กับครอบครัวบิดาของท่าน โยเซฟมีอายุ 110 ปี โยเซฟเห็นพวกลูกๆ ของเอฟราอิมจนถึงชนรุ่นที่สาม บรรดาบุตรของมาคีร์ผู้เป็นบุตรของมนัสเสห์ก็เกิดมาบนเข่าของโยเซฟ โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า “เราจะตายแล้ว แต่พระเจ้าจะเสด็จมาเยี่ยมเยียนพวกท่านแน่ๆ และจะพาออกไปจากดินแดนนี้ ไปสู่ดินแดนที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ” โยเซฟให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลสาบานว่า “พระเจ้าจะเสด็จมาเยี่ยมเยียนพวกท่านแน่ๆ แล้วท่านทั้งหลายต้องนำกระดูกของเราไปจากที่นี่” โยเซฟตายเมื่ออายุได้ 110 ปี พวกเขาก็อาบยารักษาศพ แล้วบรรจุโลงไว้ในอียิปต์’
ปฐมกาล  50:22-26.                                                                                                        .             

พระเจ้าจึงทรงนำประชากรอ้อมไปทางถิ่นทุรกันดารยังทะเลแดง ชนชาติอิสราเอลก็ออกจากแผ่นดินอียิปต์ มีอาวุธพร้อมทำสงคราม โมเสสเอากระดูกของโยเซฟไปด้วย เพราะโยเซฟให้ชนชาติอิสราเอลสาบานเป็นมั่นเหมาะว่า “พระเจ้าจะทรงเยี่ยมเยียนพวกท่านอย่างแน่นอน แล้วพวกท่านจงเอากระดูกของเราไปจากที่นี่ด้วย” ‘
อพยพ 13:18-19

‘คนอิสราเอลได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ตลอดสมัยของโยชูวา และตลอดสมัยของพวกผู้ใหญ่ผู้มีอายุยืนกว่าโยชูวา ผู้ได้ทราบถึงบรรดาพระราชกิจซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกระทำเพื่ออิสราเอล กระดูกของโยเซฟซึ่งประชาชนอิสราเอลนำขึ้นมาจากอียิปต์นั้น เขาฝังไว้ที่เมืองเชเคม ในส่วนที่ดินซึ่งยาโคบซื้อไว้จากบุตรหลานของฮาโมร์บิดาของเชเคมเป็นเงินหนึ่งร้อยแผ่น ที่นี้ตกเป็นมรดกของพงศ์พันธุ์โยเซฟ ‘
โยชูวา 24:31-32

       ดูสิครับเพราะโยเซฟเชื่อ ก่อนตายจึงสั่งคนอิสราเอลเอาไว้ว่า ต้องเอากระดูกของเขาไปในวันที่พระยาห์เวห์ นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ด้วย และมันถูกดูแลตามคำสั่งของเขาจนถึงยุคของโยชูวา จึงสำเร็จ ใช่แล้ว ความเชื่อต้องประกอบด้วยการกระทำแบบที่เรียกว่า แยกกันไม่ได้เลยครับ ดังนั้นสำหรับ EP นี้ ผมจึงใช้ชื่อว่า “ Faith and Action “ นั้นเอง เพราะถ้าคุณเริ่มมีความเชื่อจริงๆเมื่อไร อะไรก็ตามที่คุณเชื่อจะเริ่มปรากฏจากการกระทำของคุณทีล่ะนิดทีล่ะนิดนั้นเอง ครับ

ชาโลม

เอลเดอร์ โป้ง

 

Post Info

Share!!

ขออภัยในความผิดพลาด ทางเราได้ทำการแก้ไขการจัดเรียนหน้าในหนังสือ The gates of hell shall not prevail against her ให้ถูกต้องแล้ว

X