
The Faith. EP 3. ความเชื่อ คือ ความแน่ใจ
(TH) ทราบมั้ยครับ เจ้าความเชื่อเนี่ย มันทรงพลังมากๆเลยนะครับมันสามารถปลดปล่อยฤทธานุภาพของการเยียวยารักษาอย่างอัศจรรย์ หรือ การทำการอัศจรรย์ เยอะแยะมากมาย ในพันธสัญญาใหม่ ยาห์ชัว จะตำหนิสาวกอยู่บ่อยๆ ว่า “พวกเขาขาดความเชื่อ หรือ มีความเชื่อน้อย “ นั่นเพราะเขาทำมันโดยไม่มั่นใจหรือขาดความเชื่อนั่นเอง
ในฮีบรูจึง อธิบายนิยามของความเชื่อไว้แบบนี้ครับ
‘ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น โดยความเชื่อนี้เองคนสมัยก่อนจึงได้รับการรับรองจากพระเจ้า โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น ‘
ฮีบรู 11:1-3
ใช่แล้วอีกประการหนึ่ง ก็คือ ถ้าคุณ “เชื่อ” คุณจะต้องทำมันและต้องทำด้วยความแน่ใจครับ แน่ใจ๊ แน่ใจ อ่ะครับ ดังนั้นถ้าผู้เชื่อทุกคนเข้าใจสิิ่งนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องทำนองว่า “ฉันโดนศิษยาภิบาลหลอกให้ทำโน่นทำนี่“
หรือ “ผมโดนกดดันให้ทำอันนี้อันนั้น“ ใช่แล้วครับ ถ้าเราเข้าใจข้อพระคำที่ผมให้มาด้านบนและในตอนที่แล้วจะไม่มีใครสามารถหลอกหรือโน้มน้าว หรือ กดดัน อะไร เราได้เลย และที่สำคัญในพระคัมภีร์ไม่มีสิ่งนี้อยู่ มีแต่ความเชื่อเท่านั้นที่จะขับเคลื่อนตัวเราให้ทำสิ่งใดๆก็ตาม และ คุณต้องทำมันด้วยความแน่ใจมากๆเท่านั้น ที่สำคัญสิ่งใดก็ตามที่คุณทำมันด้วยความเชื่อจริงๆ คุณจะไม่มีวันเสียใจในการกระทำนั้นๆได้เลย เพราะคุณตรึกตรองมันเป็นอย่างดีจนแน่ใจแล้ว คุณถึงลงมือทำมันครับ
อีกมุมนึง ความเชื่อ คือ อาการของการที่เราทำอะไรก็ตามด้วยความมั่นใจอย่างเต็มใจ สมัครใจ ไม่ได้ทำไปเพราะกลัวผิด ไม่ได้ทำไปเพราะ คนส่วนใหญ่ทำ และแม้ไม่มีใครทำเลยสักคน คุณก็ยังคงจะทำ เหมือนในพระคำโรมบทที่ 2 ที่พูดถึง คนยูดาห์ ที่มั่นใจในการรักษาโทราห์ ว่าเขาจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์แน่ๆ แต่เขาไม่ได้รักษามันด้วยความเชื่อ เขาเพียงทำมันแบบเสียไม่ได้ เพราะ โทราห์ คือ กฏหมายสำหรับพวกเขาไปแล้ว มาดูข้อพระคำที่ว่ากันครับ
“แต่เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากหมวดธรรมบัญญัติและพวกผู้เผยพระวจนะ คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย เพราะฉะนั้น เราจะเอาอะไรมาอวด? ไม่มีทางทำได้เลย จะเอาการทำตามธรรมบัญญัติหรือ? จะเอาการประพฤติหรือ? ก็ไม่ได้ แต่ต้องเอาหลักเกณฑ์ของความเชื่อ เพราะเราเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ”
โรม 3:21-28 THSV11
ถ้าเราค่อยๆ อ่านดีๆ แล้วเริ่มเข้าใจมุมที่ผมพยายามอธิบายไปทีละวันเราจะเข้าใจความล้ำลึกของ คำว่า “ความเชื่อ” ตรงนี้มากๆ และเราจะเข้าใจเลยว่าทำไม ความเชื่อ ถึงมีค่าพอจะให้ใครสักคนรอดได้ และมันไม่ใช่การกระทำตามธรรมบัญญัติแต่ มันก็คือการทำตามบัญญัตินั่นแหละ แต่ที่มากไปกว่านั้น คือ การที่เราได้ใช้ Free will ของเรา ที่จะทำ หรือไม่ทำ ตามโทราห์ ก็ได้ ในขณะที่เราอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น แต่ยังเลือกรักษาธรรมบัญญัตินี้เอาไว้ หรือแม้แต่เราต้องเสียประโยชน์บางอย่างไป แต่เพื่อคำสัญญาเราเลยยังคงรักษาสัจจะนี้ไว้ที่เรามีต่อยาห์เวห์ให้ดีที่สุด เห็นมั้ยครับ มันคนล่ะเรื่องกันเลยระหว่าง การรักษาโทราห์ เพราะกลัวโดนขว้างหิน กับการรักษาโทราห์ ด้วยความมั่นใจว่า เมื่อเรารักษาคำสัญญานี้แล้ว พระยาห์เวห์ก็จะรักษาคำสัญญาของพระองค์ที่มีให้กับเราด้วย และนั้นคือ คำนิยามที่ถูกต้องของคำว่า “ความเชื่อ” นั้นเอง
ถ้าเราเริ่มมองเห็นความแตกต่างแล้ว เราจะเข้าใจว่า การแต่งกายให้ถูกต้องตามโทราห์ โดย ความเชื่อ ไม่ใช่ กฏ จะแตกต่างกันมากๆ แตกต่างกันยังไงเหรอครับ? ไม่ใช่เรื่องของกระโปรงใครยาวกว่ากัน หรือ ใครห้อยพู่ Tuzzel ยาวกว่ากัน แต่เป็น แรงจูงใจภายในที่เราเลือกจะใส่กระโปรงยาวหรือ ห้อยพู่ มากกว่าครับ ว่าเราทำไปทำไม คนหนึ่งแต่งตัวถูกต้องตามโทราห์ ที่บัญญัติไว้ เพราะเขารู้จักกฏระเบียบเป็นอย่างดี และไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับชุมชน พูดง่ายๆ เขารักษาเพราะไม่อยากโดนขว้างหินนั้นเอง อันนี้ฟังดูดีใช่มั้ยครับ แต่คนที่คิดแบบนี้ มีโอกาสสูงที่เมื่อเขาเปลี่ยนสังคมหรือเมื่อเขาไปในสังคมที่ไม่มีใครแคร์เรื่องการแต่งกายตามโทราห์ เขาก็จะเลิกแต่งกายตามโทราห์ เพราะไม่มีใครรู้เรื่องการแต่งกายแบบนี้นั่นเอง แต่มาดูอีกคน ที่เขาแต่งตัวถูกต้องเหมือนกัน แต่สาเหตุที่เขาแต่งตัวนั้นแตกต่างออกไป เพราะเขาแต่งกายตามโทราห์ เพราะเขาต้องการให้เกียรติพระยาห์เวห์ ผ่านทางการแต่งกายที่แสดงออกถึง การเคารพเพศตรงข้าม และเขาเป็นห่วงว่า การแต่งกายของเขา อาจจะไปทำให้ ใครสักคนที่ผ่านมาเห็นโดยบังเอิญหรือไม่บังเอิญก็ตามจะตกอยู่ในการทดลองในบาปเรื่องเพศ เขาจึงพยายามแต่กายให้มิดชิดตามที่โทราห์กำหนดไว้ ดังนั้นแม้เขาจะอยู่คนเดียว หรือไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จักโทราห์ เขาก็ยังจะแต่กายเหมือนเดิมแบบที่โทราห์กำหนดไว้นั่นเองครับ
“จงทอเสื้อยาวกรอมเท้าด้วยป่านเนื้อดี ส่วนผ้ามาลานั้นจงทำด้วยผ้าป่านเนื้อดี และสายรัดเอวนั้นจงทำและตกแต่งด้วยงานปัก “จงทำเสื้อยาวกรอมเท้า สายรัดเอวและหมวก สำหรับบรรดาบุตรของอาโรนให้เป็นเกียรติและให้สง่างาม จงตกแต่งอาโรนพี่ชายของเจ้าและบุตรของเขาด้วยเสื้อตำแหน่งของปุโรหิต แล้วจงเจิมและสถาปนาอีกทั้งชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เขาเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา จงทำชั้นในให้เขาทั้งหลายด้วยผ้าป่านยาวตั้งแต่เอวไปจนถึงต้นขาเพื่อจะปกปิดกายที่เปลือย ให้อาโรนกับบุตรของเขาสวมเมื่อเข้าไปในเต็นท์นัดพบ และเมื่อเข้าใกล้แท่นบูชาเพื่อจะปรนนิบัติในวิสุทธิสถาน เพื่อไม่ให้พวกเขาทำบาปและต้องตาย เรื่องนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์สำหรับเขา และเชื้อสายของเขา”
อพยพ 28:39-43 THSV11
เห็นมั้ยครับ ถ้าเราเข้าใจ ความหมายของความเชื่อ แล้ว เราจะเห็นความรักและความห่วงใยที่พระยาห์เวห์มีให้เราผ่านโทราห์ และ การรักษาโทราห์ ต้องทำด้วยความเชื่อ ที่หมายถึง ถึงความแน่ใจ เต็มใจ ไม่ใช่ทำไปแบบกลัวการลงโทษเท่านั้น เลยเป็นที่มาของข้อพระคำข้อนี้ไงครับ
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา’ ส่วนเราบอกพวกท่านว่า ใครมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น คนนั้นได้ล่วงประเวณีในใจของเขากับหญิงนั้นแล้ว ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก ถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ตัวท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่ง ก็ดีกว่าตัวท่านจะต้องลงนรก”
มัทธิว 5:27-30 THSV11
บาปข้อนี้เกิดขึ้นภายในใจเท่านั้น ไม่มีใครทราบว่าคุณคิดอะไร หรือ สายตาคุณกำลังสอดสายไปที่ใครอยู่และที่สำคัญ คุณรู้สึกกับมันยังไง? มีเพียงพระยาห์เวห์เท่านั้นที่รู้ และจะเป็นพยานในเรื่องนี้ในวันแห่งการพิพากษาได้ แต่แน่ล่ะ ถ้าคุณไม่เชื่อ เรื่องทั้งหมดนี้จริงๆ คุณจะไม่แคร์ ไม่สนใจ ด้วยซ้ำ คุณจะสนุกกับการเสพความสวยงามอย่างผิดๆด้วยอาการบาปต่อไป แต่ถ้าคุณ “เชื่อ” หมดใจหรือเริ่มเชื่อแล้วว่า โลกนี้มีผู้หนึ่งพิพากษาคุณได้ แม้ไม่มีใครเห็นความผิดคุณจากการกระทำ แต่มีผู้หนึ่งมองเห็นความผิดภายในจิตใจของคุณ และคุณเชื่อ จริงๆว่า สิ่งนี้เป็นบาปที่เป็นการทำผิดต่อพี่น้อง คุณจะห้ามความคิดตัวเองไว้เสมอ จริงอยู่คุณไม่ได้ตั้งใจเพราะบาปเป็นผู้ชวนให้คุณทำแต่คุณมี Free will ที่จะปฏิเสธหรือร่วมมือกับบาป นั่นเอง กระบวนการนี้คือ ความเชื่อ นั่นเองครับ
“เรารู้ว่าธรรมบัญญัตินั้นเป็นเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นเนื้อหนังถูกขายเป็นทาสให้อยู่ใต้บาป ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น”
โรม 7:14-15 THSV11
เห็นมั้ยครับ เปาโล บอกว่า โทราห์เป็นเรื่อง ของจิตวิญญาณ นั่นเพราะเราต้องรักษาโทราห์ ด้วยความเชื่อถึงจะถูกต้อง และมันหมายถึง ทำด้วยความเต็มใจ แน่ใจ มากๆ แม้จะมีบาปเป็นตัวขัดขวาง แต่เรากลับยก Free will ของเราให้เป็นของพระวิญญาณ สิ่งนี้แหละครับ ถึงจะเรียกว่าความเชื่อ ไม่มีใครเห็นคุณ ไม่มีใครบังคับคุณ คุณเลือกมันด้วยความเชื่อ ของคุณเอง สิ่งนี้แหละครับที่ทำให้เราเป็นที่พอพระทัยของพระยาห์เวห์
“แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์”
ฮีบรู 11:6 THSV11
เป็นไงครับเริ่มมองออกหรือยัง ? ว่าหน้าตาความเชื่อ จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร ? และเรามีความเชื่อเรื่องไหนจริงๆ แล้วบ้าง? หรือ แท้จริงเราทำไปโดยความรู้ ความกลัว แบบเสียไม่ได้ เท่านั้น ไว้มาดูกันต่อใน ตอนต่อไปครับว่า เมื่อเราไปถึงจุดที่มองออกแล้วว่าเราอาจจะยังไม่มีความเชื่อในบางเรื่อง และเรายอมรับมันได้จริงๆ แล้วเราจะดูกันครับ ว่าเราจะเริ่มสร้างความเชื่อที่แท้จริงได้จากอะไร
ชาโลม
เอลเดอร์ โป้ง
Congregation of YHWH, Thailand ชุมชนของพระยาห์เวห์ แห่งประเทศไทย
ขออภัยในความผิดพลาด ทางเราได้ทำการแก้ไขการจัดเรียนหน้าในหนังสือ The gates of hell shall not prevail against her ให้ถูกต้องแล้ว